22/6/58

Sayonara Ryuusei Konnichiwa Jinsei บทที่2

 บทที่ 2
ลาเมียร์
-Lamia-

เวลาผ่านไปนับตั้งแต่ข้าตายแล้วเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ข้ายืนอยู่บนที่ราบกว้าง เป็นทิวทัศน์นี่พบได้ตามทั่วไปบนโลกแห่งนี้ ลมหนาวหมุนพัดเข้าหน้าข้า แสดงร่องรอยฤดูหนาวที่เพิ่งผ่านมา นับแต่นี้จะเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ขาข้าสั่นรับความหนาวขณะยังยืนอยู่บนที่ราบกว้าง ที่ราบปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวชอุ่ม บ่งบอกความสดชื่น ลมที่พัดก็นำพากลิ่นหอมจางๆของดอกไม้มาด้วย

ขณะนี้ ในมือถือตะกร้าลูกไม้ข้างในบรรจุยาสมุนไพรหลากหลายชนิด

ฟุมุ การเก็บเกี่ยววันนี้เพียงพอล่ะ ต้องชมตัวเองหน่อย

ขณะกำลังคิดถึงประโยควลีติดปากของเผ่ามังกร ข้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจและความพึงพอใจ ขณะที่คิดอยู่ ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อข้ามาจากข้างหลัง




"คุณดราน กลับกันได้แล้วค่ะ"

"อ่า ได้ครับ ก็ได้เวลาแล้วสิ เวลาของวันนี้ก็ใกล้หมดไปอีกตามเคย"

หันกลับมาเจอร่างแม่สาวผมแดงหยิกยาวโบกไสวไปมาด้านหลังสะท้อนเข้ามาในรูม่านตา เธอใส่เสื้อฝ้าฝ้ายสำหรับสตรีและกระโปรงยาว แล้วด้านเธอก็แบกตะกร้าเหมือนกับข้า ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่อยู่ในแดนห่างไกล ชนบทตามแนวชายแดน ยังไงก็แล้วแต่ เธอยิ้มเปร่งประกายเจิดจรัสดั่งแสงอาทิตย์
แก้มมีจุดตกกระช่วยเสริมความเสน่ห์ให้อีก เธอชื่อไอริ เด็กมนุษย์ทั้งสี่ต่างเล่นกันอย่างสนุกสนามกับไอริบนที่ราบทุ่งหญ้า

ไอริกับข้าเป็นสมาชิกชนบทเล็กๆแห่งนี่หรือที่เรียกว่าเบิร์น ตั้งอยู่ในขอบแดนทวีป เด็กที่วิ่งเล่นไม่ใช่แค่เด็กแต่เป็นลูกของมนุษย์ คน รวมถึงข้าที่ใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ต้องรับใช้เป็นมือเท้าให้กับเทพธิดาทั้งสามองค์ผู้ซึ่งปกครองเหนือชะตากรรม ข้าผู้เคยเป็นมังกรที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้พิภพ ผู้ถือครองพลังที่ไม่มีใครเทียบ พลังอันแข็งแกร่งย่อมคู่ควรกับเผ่าพันธุ์ผู้แข็งแกร่งเช่นกัน แต่บัดนี้ได้กลับมาเกิดใหม่ในฐานะมนุษย์ตนหนึ่ง เมื่อตอนที่ข้าถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือผู้กล้า ด้วยศาสตร์ต้องห้ามบางอย่างทำให้ความทรงจำและวิญญาณข้าแม้จะเกิดในร่างใหม่ก็คงความแกร่งไว้อยู่ แม้นไม่ใช่ความตั้งใจจริง ตัวข้าเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคงบงการที่ทำให้ข้ากลับมาเกิดใหม่  อย่างไรก็ตามข้ายอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นและอยู่กับมันแล้วล่ะ

ทฤษฏีที่ข้าคิดได้นั้น ก็คิดตอนที่ข้ายังแบเบาะเป็นการเดาเสียส่วนใหญ่ ไม่มีหลักฐานยืนยันสาเหตุว่าทำไมถึงเกิดใหม่เป็นมนุษย์ อาจเป็นตอนตายในฐานะมังกรแล้วโดนเวทยมนตร์บางอย่าง ที่แน่นอนสุดก็คือร่างกายมังกรไม่มีอีกแล้ว อย่างไรก็แล้วแต่ วิญญาณของมังกรผู้แข็งแกร่งที่สุด เข้มแข็งเกินกว่าที่จะถูกทำลายลง ผู้กล้าหรือใครก็ตามที่สั่งผู้กล้ามีชัยเหนือข้าต้องรู้เรื่องนี้แน่ ก็เลยทำให้วิญญาณข้าเพลี่ยงพล้ำลงผ่านการเกิดใหม่แทน

เพราะงั้น แทนที่จะจมสู่ทะเลวิญญาณ ก็จะบังคับวิญญาณข้าให้วนเวียนว่ายเป็นวัฎสงสาร ตั้งใจให้เพรียกพร่ำพร้อมกับให้สูญเสียความทรงจำและความแข็งแกร่งของมังกรไป ต้องเป็นผู้มีพลังจิตวิญญาณขั้นสูงเท่านั้น แม้ให้ร่างกายถูกทำลาย ข้อมูลทั้งหลายจะถูกบันทึกลงในวิญญาณ ด้วยเหตุนี้สามารถสร้างร่างเนื้อใหม่ได้จากศูนย์ สำหรับข้าเหรอ ร่างกายก็เป็นแค่ภาชนะ ตราบเท่าที่ดวงวิญญาณยังปลอดภัยข้ายังสร้างร่างเนื้อใหม่ตามที่ต้องการ ในตอนที่ผู้กล้าฆ่าข้าด้วยดาบนั้น ข้าก็โอบรับความตายแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นถึงตอนนี้เป็นข้อยกเว้น

ผู้ใดที่ต้องการให้ข้าตายสนิทคงกลัวว่าสักวันข้าจะคืนชีพก็เลยหาวิธีการบังคับให้ดวงวิญญาณเข้าไปประสบกับเวทย์มนต์ของผู้บงการเข้ามาแทรกแทรงวัฎสงสารช่วงจังหวะที่ข้าตาย เพราะความจริงหลังจากที่ข้าเกิดใหม่ ข้าสังเกตเห็นดวงวิญญาณตัวข้าถูกทำให้อ่อนเพรียกไปมาก ทั้งปริมาณ ทั้งคุณภาพพลังเวทยมนต์ที่ผลิตจากดวงวิญญาณช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว

การผลิตระดับพลังเวทย์ปัจจุบันช่างแตกต่างอย่างเทียบได้ชัด แต่ก่อนที่เหมือนฝนเทลงท่าเดียวมาตอนนี้ก็เป็นเพียงหมอกยามเช้าที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำออกจากใบทีละหยด แต่ถึงกระนั้นระดับเวทยมนตร์ในตัววิญญาณมังกรที่ผลิตมามันช่างเหนือ เกินมนุษย์ไปแล้ว โชคดี ที่ข้ายังไม่ลืมจะคุมระดับพลังแค่นี้ เพราะงั้นไม่มีทางตายง่ายๆแน่ แล้วก็ไม่มีคนต้องมาตายเพราะเหตุคุมพลังไม่อยู่ ดังนั้น ร่างมนุษย์ก็เป็นเหมือนร่างอื่นๆ หากมีเวทยมนตร์ปริมาณเพียงพอก็สร้างร่างเนื้อใหม่ได้ตามต้องการ พร้อมยังเก็บเวทยมนตร์ส่วนเกินได้อีก ข้าเลือกที่จะจำกัดพลังตัว ใช้ในปริมาณที่มนุษย์ทั่วไปผลิตได้กัน แล้วก็ระวังไม่ให้หลงระเริง หากเป็นไปได้ก็พยายามอยู่ในระดับไม่เกินเลยในสายตาคนอื่นๆ

ข้าตามหลังไอริกลับข้าวหมู่บ้าน เบื้องหน้าไอริ เด็กๆวิ่งเล่นกันอย่างร่าเริง  หมู่บ้านรอบล้อมไปด้วยกำแพงทำจากหิน ประชากรมีประมาณสามร้อยคน เป็นเพียงหมู่บ้านชานเมืองที่ตั้งในขอบแนวชายแดน การที่อยู่ขอบแนวชายแดนก็แปลว่าหมู่บ้านนี้ต้องถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาดและกลุ่มโจร กำแพงจึงเป็นแนวป้องกันชั้นดี ใช้ถนนหนทางเดินเข้าหมู่บ้าน มีสองทางเข้า ประตูรั้วทิศเหนือและประตูรั้วทิศใต้ แต่ละประตูรั้วประกอบด้วยประตูไม้ใหญ่เสริมด้วยเหล็ก และมีทหารเฝ้าที่ถือหอกดาบรวมถึงธนูอย่างต่ำสองคนในแต่ละประตูรั้ว

บริเวณใกล้เคียงหมู่บ้าน จะเห็นก็อบลินที่มีความสูงเท่าเด็ก โคบอล์ดที่หัวเหมือนหมา และ ลิซาร์ดติดอาวุธซึ่งรูปร่างภายนอกเหมือนลิซาร์ด เดินสองเท้า แม้ความแข็งแกร่งสองเผ่าแรกจะด้อยกว่ามนุษย์ แต่การผลิตลูกหลานถือว่าสูงและโตเร็วอีก พวกมันเพิ่มจำนวนด้วยความเร็วน่าทึ่ง แถมพวกมัน ยังมีพวกชาแมนที่สามารถควบคุมพลังจิตวิญญาณ จัดการได้ยากอีก ส่วนอีกเผ่า ลิซาร์ดแม้จะมีอัตราการเกิดน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสองเผ่าแรกแต่ความสามารถการต่อสู้อยู่ในระดับสูง หมู่บ้านเราก็ต้องฝีกคนไว้สู้กับลิซาร์ด ทุกคนต่างเอาชนะแบบหนึ่งต่อหนึ่งลำบาก ยิ่งระดับผู้บัญชาการแล้วแม้แต่ระดับอัศวินที่ได้รับการฝึกอย่างดียังสู้กันเหนื่อยเลย

ตอนที่ยังเป็นมังกร ข้าไม่เคยคิดสนใจให้ความสำคัญแก่สามเผ่านี้เลย จนมาเป็นมนุษย์นี่แหละถึงได้เปลี่ยนแนวคิด โชคยังดีที่ความสัมพันธ์เผ่าลิซาร์ดกับมนุษย์ยังดีเหมือนเผ่าอื่นๆ ผู้คนเบิร์นต่างช่วยเผ่าลิซาร์ดในยามยากลำบาก เพราะเหตุนี้สองเผ่าจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แม้จะไม่ค่อยได้เห็นภาพแบบนี้บ่อยที่สองเผ่าจะเข้ากันได้ดี

ระหว่างทางกลับ ก็ได้คุยเรื่องสนุกๆถึงเรื่องประจำวันกับคนอื่น แม้มุขตลกบางช่วงจะไม่เข้าหัวบ้างก็เหอะ พวกเด็กที่วิ่งหน้าเราเป็นพวกสมาธิสั้น กระฉับกระเฉงกันทั้งนั้น แต่ก็เป็นก้าวหนึ่งในการเติบโต แต่ไม่มีอะไรเทียบกับความน่าเบื่อการฟักออกจากไข่ของลูกมังกรได้หรอก

หลังจากเข้าหมู่บ้าน ถึงจุดทางแยกแรก ก็แยกทางกัน เดินตรงไปบ้านที่ข้าสร้างกับมือ พนังทำด้วยไม้หมดมีดินโคลนอุดช่องว่าง หลังคาก็ทำมาจากฝางผสมหญ้า

ในประเทศ รวมถึงหมู่บ้านนี้ด้วย การบรรลุนิติภาวะจะเป็นตอนอายุครบสิบห้าปี หากครอบครัวมีลูกคนโต พออายุครบสิบห้าปี ลูกก็จะออกไปทำฟาร์มที่ได้จากพ่อแม่หรือเป็นของหมู่บ้าน ผ่านไปอีกปีแทนที่อาศัยอยู่กินกับพ่อแม่ หนุ่มน้อยก็สามารถสร้างบ้านต่อเติมเอง ดูแลตัวเองโดยไม่พึ่งพ่อแม่ได้

ปีนี้ข้าก็อายุสิบหกปี เวลาผ่านไปนับตั้งแต่แยกทางกับพ่อแม่ สนุกกับการอยู่ตัวคนเดียว เดินผ่านบ้านตัวเองไปเพราะตัดสินใจเยี่ยมพ่อแม่เนื่องจากการเก็บเกี่ยววันนี้ดีมากแถมยังมีเวลาเหลืออยู่ ซึ่งใช้เวลาเดินไม่มากนักก็เพราะสร้างบ้านอยู่ในบริเวณเดียวกัน หลังเปิดประตูไม้ทำเสียงเอี๊ยดอ๊าด เข้าไปในบ้าน

"สวัสดีครับ แม่ครับ!  การเก็บเกี่ยววันนี้ได้ของมาเหลือล้นมาก ผมเอาไปเก็บแล้วก็แลกเปลี่ยนเป็นสมุนไพรกับขนมปังแต่ก็ยังมีของอยู่ครับ"

ข้าบอกจุดประสงค์การมาและยื่นส่งสมุนไพรให้แม่ตนเอง


"ลูกแวะกลับมา! สมุนไพรพวกนี้มีคุณภาพสูงเลยนี่ แม่สามารถทำยาดีได้เลยนะเนี่ยลูก"

"ราบรื่นเลยสินะ วันนี้"

แม่อราเซน่ากล่าวทักทาย ดูเหมือนแม่จะอยู่คนเดียว พ่อกับน้องชายคงออกไปทำงานที่ไร่กัน แม่มัดผมทองอร่ามเป็นหางม้า แม่สวมผ้ากันเปื้อนรวมถึงผ้าคล้องคอขาว บริเวณข้อมือแม่ดูสกปรกหน่อยๆ ซึ่งก็เป็นแม่ที่ข้ารู้จักดี

ชีวิตในชายแดนมันก็ลำบากเต็มไปด้วยปัญหา อันตราย โชคลางไม่ดี และสถานการณ์ไม่สมเหตุผล แต่หากผ่านไปได้ก็จะเจอความสุข แม่หันหน้ากลับไปพร้อมหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม แม่เรือนในหมู่บ้านนี้ต่างมีจิตใจแน่วแน่ หัวใจที่เข้มแข็ง แล้วก็อ่อนโยนต่อครอบครัวตนเอง

เพราะยังคงมีความทรงจำมังกรอยู่ก็เลยมองการปฏิบัติของแม่เป็นเรื่องน่าหัวเราะ ระหว่างน้องชายกับข้าช่างแตกต่างเสียจริง เพราะการกระทำข้านั้นเกินวัย แม่ก็เลยปฏิบัติข้าแบบผู้ใหญ่เร็วกว่าน้องเสียอีก

หากต้องดูแลเด็กจะมีงานมากมายก่ายกองให้ทำ ผู้แบกรับความรับผิดชอบนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากภรรยา ผู้หญิงเป็นคนประเภทสมควรน่านับถือ ในใจข้าลึกๆแล้วก็นับถือแม่ตนเช่นกัน ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนสมควรได้รับการยกย่องนับถือ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะได้รับด้วย กระนั้นพ่อแม่ก็ได้การนับถือจากข้า ในหมู่บ้านนี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่นั้นอ่อนแอแต่ก็ไม่ได้แปลว่าไร้ค่า อ่อนแอเมื่ออยู่เพียงคนเดียว

แม้จะมีพระเจ้าที่มนุษย์เคารพบูชาผู้ซึ่งต้องการความช่วยเหลือ ข้าเองก็บูชาด้วยแค่เปลือกนอกล่ะนะ ข้าเคยขำกลิ้งที่พระเจ้าทำลายฝันต่อหลายคน ต้องจดไว้เป็นพิเศษว่าเบื้องหลังพระเจ้าก็ความลับที่ที่ไม่อยากให้เปิดเผยเช่นหน้าตนน่ารังเกียจแค่ไหน

หลังจากที่ให้สมุนไพรและขนมปังกับแม้ ข้าก็กลับบ้าน

อาหารเย็นแสนง่าย ก็ต้มผักกินกับขนมปังที่เก็บไว้ มื้อเย็นปกติเมื่อประสาทรับรสของมนุษย์ผสมเข้ากับมังกรทำให้คอยได้ลิ้มรสชาติสดใหม่ แล้วก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังตลอดสิบหกปีมานี้

ก็มีปัญหาอยู่บ้างเวลาความรู้สึกการเป็นมังกรมาปนกับความรู้สึกการเป็นมนุษย์  ก็อย่างเช่นเวลากินนั้นก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรสักอย่าง ซึ่งก็คือการไม่เห็นปากเขี้ยวข้าวนั้นเอง เพราะการมองเห็นมาต่างจากตอนเป็นมังกรก็เลยมีปัญหาเรื่องการมองหลายๆเรื่องมาตั้งแต่เด็ก แต่เดี๋ยวนี้ก็ชินแล้ว ก็เคยคิดสงสัยอยู่ว่ามันมีมังกรตนอื่นกลับชาติมาเกิดใหม่แล้วมีปัญหาเหมือนตนไหม การรับรสชาติและการรับกลิ่นจากดวงวิญญาณเชื่อมเข้ากับร่างมนุษย์ยังไม่เป๊ะ ไม่รู้จะมีวันเป๊ะไหม? แต่ก็เพราะงี้แหละก็เลยได้สัมผัสหลายๆอย่างที่น่าสนใจ

ไม่มีวี่แววการจู่โจมของสัตว์ร้ายในคืนนี้ ก็ต้องขอบคุณคำสวดภาวนาที่ขอให้วันนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น ข้าใช้เวลาทำหอก ลูกธนูสำหรับใช้ป้องกันตัวจากต้นไม้ที่ตัดไปในช่วงสร้างบ้าน ใช้ประโยชน์จากต้นไม้ทุกซอกมุมตั้งแต่กึ่งยันราก

บ้านข้ามีทั้งหมดสามห้อง หนึ่งห้องอาหาร สองห้องนอน และสามห้องเก็บของ พอข้าเข้าห้องนอนก็แผ่ฟางมัดหนาลงกับพื้นแล้ววางขนสัตว์ทับลงไปล้มตัวนอนหลับไป ชีวิตอันแสนเรียบง่าย

สภาพอากาศที่นี่รุนแรง ฤดูร้อนจะอบอ้าว ถ้าไม่ระวังในช่วงฤดูหนาวก็จะแข็งตายได้ ธรรมชาติไม่ใช่เรื่องจะเอามาล้อเล่นกัน ข้าเองก็พยายามขจัดปัญหาต่างๆด้วยการเพิ่มขนสัตว์ในฤดูหนาว ลดขนสัตว์ลงในฤดูร้อน แต่ถึงจะแก้แล้วบางครั้งยังหลับไม่ค่อยลง

หลังจากฝ่าการทำงานปีเต็ม ข้าเชื่อแล้วว่าสิ่งแวดล้อมบนโลกช่างสวยงาม ก็รู้สึกเศร้าใจหน่อยที่เห็นมนุษย์เข้าไปทำกิจกรรมรอบๆ ยิ่งสภาพในหมู่บ้านนี้ด้วย ตอนที่เกิดมา แม่ชอบพาข้าไปอาบแสงอาทิตย์ยามเช้า ข้าก็อำแล้วร้องเพลง พยายามล่ะนะ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ความลับว่าข้าชอบอาบแดด

พระอาทิตย์ขึ้นขอบฟ้าส่งแสงทองอร่ามชาวบ้านต่างพากันตื่นและเริ่มออกไปทำงาน ข้าเองก็ตื่นก่อนใครเพื่อน อุ่นของเหลือจากมื้อเย็น หลังอาหารเช้าก็ออกไปทำงานที่ไร่

ตอนที่ยังแบเบาะก็สงสัยอยู่ว่าพ่อแม่ทำยังไงถึงได้สิทธิ์ทำไร่ใกล้ๆรอบหมู่บ้านตั้งแต่ยังหนุ่มสาวกัน ทางก็ใกล้สะดวกอะไรเช่นนี้ ส่วนนิสัยประจำของข้าหากมีเวลาว่างช่วงเวลาทำงาน ก็ไปเดินเล่นสอดส่องเพื่อนบ้านที่มุมานะกับงานตนเอง ที่มีเวลาว่าเหลือเฝือก็เพราะดวงวิญญาณข้าสามารถผลิตพลังเวทย์ได้ก็เลยแอบใช้เวทย์ช่วยทำงานเสร็จเร็ว ก็กะไว้อยู่ดูเหมือนดวงวิญญาณมังกรช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านกายภาพมนุษย์อีกที

ข้าอุทิศชีวิตให้กับการทำไร่และตั้งเป้าจะทำไร่ให้เจริญรุ่งเรือง แน่นอนว่าจะใช้เวทยมนตร์ให้น้อยที่สุด ใช้แต่แรงกายมนุษย์เพียวๆ นิสัยข้าก็ไม่ได้กวนใจใครเป็นที่รู้กันของหมู่บ้าน แถมชาวบ้านก็ยุ่งกับงานตนเอง

หากจะใช้เวทยมนตร์ช่วย ข้าสามารถทำผลผลิตได้เท่ากับไร่ที่ใช้แรงงานร้อยคนต่อหนึ่งฤดูกาล การโชว์ของต่อหน้าทุกคนเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด ผู้ถือครองพลังเวทย์เป็นภาพที่เห็นได้ยาก ยิ่งอยู่ตามบริเวณขอบชายแดน แถมผู้เกิดมาแล้วใช้เวทย์มนต์ได้นั้นถือว่าหายาก โชคดีที่มีครอบครัวนักเวทย์อาศัยในหมู่บ้านนี้ ก็เลยไปหาพวกเขาเพื่อเรียนรู้เวทย์ที่มนุษย์ใช้กัน แต่เวทย์มนตรามันเรียบง่ายไปหน่อยก็เลยเบื่อเร็ว

หลังเสร็จอาหารเช้าก็ออกไปทำงาน ก็ออกเหงื่อหน่อยสู้ชีวิตเดินผ่านทุ่งกว้างเข้าไปในป่า เห็นคนนำกลุ่มเด็กๆด้วย พวกเด็กคงตั้งใจช่วยออกล่าอีกแรงแน่ ระหว่างที่คิดก็เดินไปยังไร่ต่อ

อยู่มาวันหนึ่ง ข้าตัดสินใจไปหมู่บ้านตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เคยเป็นที่ตั้งหมู่บ้านเก่าของชนเผ่าลิซาร์ด เป็นที่รู้กันดีว่าความสัมพันธ์มนุษย์และเผ่าลิซาร์ดเป็นมิตรฉันท์ ตอนที่เกิดหายนะขึ้น ชาวบ้านก็เข้าไปช่วยสร้างหมู่บ้านใหม่ใกล้ๆกับทะเลสาบแถวๆนั้น เรื่องมันก็ผ่านไปได้ประมาณสิบปีแล้ว ก่อนจะมุ่งยังหมู่บ้านลิซาร์ดเก่า ก็ต้องเตรียมของสำหรับเดินทาง ซึ่งก็กะใช้เวลาอยู่พอสมควรเพื่อจะเรียนรู้ความจริงที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนั้น

ไม่กี่วันถัดมา การเตรียมตัวก็เรียบร้อย พร้อมจะออกไป ข้าออกไปพบน้องชายมาร์โค้รออยู่หน้าบ้านหน้าหลังเขาก็มีผู้หญิงสองคนยืนแสดงสีหน้าเหมือนแม่บรรยากาศออกดูอันตราย เป็นรังสีอำมหิตที่ทำให้ก็อบลินหนึ่งหรือสองตัวแผ่นหนีราบ ส่วนเหตุผลที่มาร์โค้มาหาก็เพราะขอร้องให้น้องมาดูแลบ้านกับไร่ระหว่างที่ไปนี่คงช่วยให้น้องมีประสบการณ์ไว้ใช้ตอนเริ่มอยู่ตัวคนเดียว

"พี่จะออกไปหนองน้ำ พี่คงไม่กลับมาอย่างเร็วก็เย็นพรุ่งนี้ พี่ฝากบ้านกับไร่ให้น้องดูด้วยนะ"

"ครับ พี่ ไว้ใจผมได้เลย ก็พี่ดูแลบ้านกับไร่เป็นอย่างดีนี่ พี่ห่วงสถานที่พี่ไปจะดีกว่า ระวังตัวด้วยครับ ที่นั่นออกจะอันตรายอยู่

ผ่านมาได้สิบปีหลังเกิดหายนะขึ้นที่ชนเผ่าลิซาร์ด ก็อาจมีสัตว์ร้ายซุ่มดักอยู่รอบๆ ไม่มีชาวบ้านกล้าเหยียบเข้าไปที้นั้นรวมถึงชนเผ่าลิซาร์ดอีกเลย พอประกาศบอกว่าจะไปสำรวจแถวนั้นพ่อแม่และน้องก็ห้ามไว้สุดฤทธิ์ เหมือนทำให้เรื่องวุ่นวายมากกว่าทำเพราะจำเป็นเสียอีก สุดท้ายก็กล่อมทุกคนได้ แล้ววันนี้ก็จะออกเดินทางไป

"ถ้าน้องเฝ้าดี เดี๋ยวพี่นำของฝากจากหนองน้ำกลับมาให้ด้วยนะ"

"ขอให้พี่กลับมาปลอดภัยก็พอ แค่ไม่เป็นอันตรายก็ดีแล้วครับพี่"

หลังจากอำลากับมาร์โค้ ก็แยกทางกัน ข้าสะพายกระเป๋าหนังที่ใส่น้ำและอาหารสำหรับสองวัน แล้วก็พกดาบกับกริชติดตัวเผื่อเจอเรื่องสำแดง แม้ผ่านไปสิบปีหลังหายนะเกิดขึ้นถนนที่มุ่งไปทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปที่ตั้งชุมชนเก่าที่ยังอาศัยอยู่ได้ มันมีเรื่องราวที่มีคนเดินไปที่นั้นแล้วหายตัวไปอย่างปริศนา

เมื่อเดินไปทางทิศเหนือเรื่อยๆก็เจอก็อบลินและโคบอล์ดมากขึ้น ไม่แปลกเท่าไหร่ก็เป็นบริเวณถิ่นเขา แต่ก็ยังอดรู้สึกแปลกที่เห็นก็อบลินตั้งมากมาย บางจังหวะ ข้าเห็นหมาป่าหนึ่งหรือสองตัวแยกจากฝูง ข้าเตรียมพร้อมจะฆ่ามันหากมันพุ่งเข้าหา ดูเหมือนมันฉลาดพอตัวที่จะเลี่ยงข้า พระอาทิตย์กำลังตกดินก็ใกล้ถึงที่หมายปลายทาง ก็เลยตั้งแคมป์ใกล้ๆแถวนั้น ต้องขอบคุณตัวเองที่รอดวันแรกมาได้ น้องมาร์โค้คงห่วงแทบบ้าแน่

คนจากเผ่าลิซาร์ดเลี่ยงที่จะพูดเรื่องที่เคยเกิดขึ้นที่หมู่บ้านแม้จะรู้ดีว่ามันผิดธรรมชาติแค่ไหน ส่วนมนุษย์ก็ไม่วันรู้สาเหตุที่เกิดขึ้น ที่ลุ่มนี่เคยเป็นที่พักอาศัยของเผ่าลิซาร์ด ด้วยเหตุผลบางประการพวกเขาไปแล้วไม่กลับมาที่นี่อีกเลย แล้วก็ไม่ใช่ธุระมนุษย์ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว คงใช้เวลาสืบสวนไม่นาน ครึ่งวันก็เต็มที่ล่ะ

ก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้ามิด ก็แวะไปดูหนองน้ำ พืชพรรณแถวนี้เจริญงอกงาม หญ้าสูงปกคลุม ดินโคลน อากาศก็เต็มด้วยละอองน้ำปกติ แต่เมื่อละอองสัมผัสผิวก็รู้สึกใจไม่ชื้นขึ้นมา ไม่ใช่เพราะอากาศมันอับชื้นหรืออะไรแบบนั้นหรอกแต่ความรู้สึกที่แบบบอกไม่ถูก

ยืนอยู่ตรงตลิ่งก็ได้กลิ่นแปลกๆฟุ้งออกมา ไม่มีวี่แววสิ่งมีชีวิตใกล้ๆแถวนี้ด้วย ก็ไม่สมควรมีอยู่แล้ว ท่ามกลางหมู่บ้านร้าง หลังคาบ้านร่วงโคลนที่ใช้อุดก็กลายเป็นกองขี้โคลน บนพื้นก็มีอาวุธที่ชนเผ่าลิซาร์ดทิ้งไว้ขึ้นสนิมเกินกว่าจะจำรูปร่างเดิมได้ ธรรมชาติทวงคืนที่นี่ได้เกือบครบ

"หืม..."

ข้าถอนหายใจเบาๆ  ขณะยืนอยู่ขอบหนองน้ำ สัมผัสร่องรอยเวทยมนตร์ธาตุดินได้

เผ่าลิซาร์ดคงสร้างบ้านโดยใช้เวทย์ร่วมด้วยไม่งั้นคงไม่มีทางทนท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้หรอก

ใช้พลังวิญญาณควบคุมธาตุได้อีก เผ่าลิซาร์ดก็มีฝีมือเหมือนกัน พูดในฐานมังกร ข้าสามารถเปลี่ยนธาตุแบบไม่ต้องออกแรงได้เลย มังกรทุกตัวก็ทำได้เช่นกัน ไม่ใช่แค่ข้าตัวเดียว

ภูติวิญญาณจากโลกวิญญาณมักเป็นตัวการหลักทำให้เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ สองโลกเชื่อมเข้าหากัน ข้าไม่สนใจจะไปที่แห่งนั้น สภาพข้างนั้นบอกชัดเจนเลยว่าเป็นฝีมือภูติวิญญาณ ธาตุน้ำที่นี่อ่อน ธาตุดินเข้มข้น ดูเหมือนหนองน้ำนี้ธาตุจะไม่สมดุลกันคงเป็ฯผลทำให้มีดินโคลน ขณะมองดูรอบ ก็จำได้ว่าเรื่องที่พ่อบอกว่าเคยเกิดแผ่นดินไหวที่หมู่บ้านนี้ นั่นคงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดนี้รึเปล่า?

จะเรียกหนองน้ำก็ไม่เชิง อย่างกับทุ่งโคลนเสียมากกว่า ใช่ทุ่งโคลน ถ้าใช้พลังข้าล่ะก็ ที่นี้ก็กลับไปเป็นหนองน้ำมีชีวิตเบ่งบานเหมือนเดิม แล้วเค้าจะดีใจยอมจะกลับมาสร้างบ้านเรือนใหม่เหรอ? เท่าที่รู้ความเป็นอยู่เผ่าลิซาร์ดก็ไปได้สวย

งั้น จะมาตกปลาที่นี่พรุ่งนี้ดีไหม? เซ็คดูสภาพหลังจากฟื้นฟูที่นี่เสร็จ

เลยนำไปสู่คำถาม เผ่าลิซาร์ดอยู่กินที่นี่กันยังไง?ตกปลาเหรอ? ก็ว่างั้น แล้วถ้าหมดฤดูไปล่ะ ก็คงไปหาแหล่งอาหารแถวอื่นแน่ ชีวิตทางตอนเหนืออยู่ลำบากชมัด ข้าบอกตัวเอง

แม้ระหว่างทางจะไม่มีสัตว์ร้ายเข้าโจมตี ก็ต้องคิดหาวิธีตอบโต้เผื่อเจอเข้า จะทิ้งอาหารและความปลอดภัยเลยก็ได้แต่นั่นมันสำหรับพวกหมดอาลัยตายอยาก ชีวิตนี้มีแต่เรื่องสนุกใครจะไปยอมกันง่ายๆเล่า

ขณะมือกุมคิดว่าจะทำอะไรต่อก็ได้ยินเสียงงูตัวใหญ่เลื้อยจากข้างๆ งูหยุดก่อนจะถึงตลึ่งทุ่งโคลน ข้าจ้องมองดูงูที่หยุดเลื้อยในหมู่บ้านร้างของชนเผ่าริซาร์ด

"โหว?"

เผลออุทานแสดงความชื่นชมเบาๆ

ผมทองทอดยาวตรงช่างสวยพอเหมาะกับแสงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ต่ำแหน่งดวงตาและจมูกก็ใกล้เคียงกับคำว่าเลิศล้ำ หากมีใครเห็นเข้าก็ต้องบอกว่าเป็นผลงานศิลปินผู้มีพรสวรรค์ ตาฟ้าส่องประกรายราวกับแร่แซปไฟร์ เธอคนนี้สวมผ้าคลุมปิดหัวขาวสะอาดกับชุดฟ้าซีดที่แสนเรียบง่าย เธอสะพายกระเป๋าไขว้ไหล่ซ้ายของเธอ ใบหน้าเธอแสดงออกด้วยความงงงวย สาวบริสุทธิ์วัยรุ่นตอนปลาย ลิ้นงูผลุบโผล่ไปมาออกจากปากแดงของเธอ

เราจ้องมองหน้ากันได้ครู่ใหญ่ แม่สาวผู้นี้สูงกว่าข้าคนนี้หากตัดสินจากระยะห่าง ลำตัวเธอผู้นี้เป็นงูยักษ์ ร่างงูที่โค้งงอหลบด้านหลังปกคลุมไปด้วยเกล็ดเขียวตั้งแต่ส่วนเอวที่แนบพื้นลงมา

ข้าพึมพัมคำว่า "ลาเมียร์"กับตัวเอง ข้าจักรู้ดีเลยล่ะ เธอเป็นหนึ่งในเผ่าสัตว์ร้าย แต่ แต่ สัตว์ร้ายไม่มีทางจะมีใบหน้าแสนงามเลิศกว่าใครในโลกนี้หรอก เคยได้ยินผู้ใหญ่บ้านเล่าให้ฟังว่ามีสัตว์ร้ายสาปเจ้าหญิงของอาณาจักรแห่งหนึ่ง รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปก็เลยเป็นเหตุทำให้ถูกเนรเทศ เผ่าลาเมียร์ก็คือลูกหลานของเจ้าหญิง แต่จำไม่ได้ว่าลาเมียร์อาศัยอยู่ในแถบนี้หรอก แล้วใครเป็นคนนิยามสัตว์ร้ายให้ผู้อื่นกัน? รูปลักษณ์ภายนอก?ความแข็งแกร่ง?ใจคนงั้นเหรอ?หากใช่ ข้าก็เลวร้ายกว่าใครเพื่อน

ที่มนุษย์ตีหน้าเผ่าลาเมียร์เป็นสัตว์ร้ายก็เพราะความสามารถแข็งแกร่งที่ควบคุมพลังมนตรา ท่อนล่างงูสุดแกร่งที่สามารถบดขยี้กระดูชายฉกรรจ์ได้ง่าย เพียงลาเมียร์ตนเดียวก็สามารถลบหมู่บ้านเล็กๆทิ้งได้ ก็มีข่าวลือกล่าวถึงร่างมนุษย์ท่อนบนของเผ่าลาเมียร์ว่าจะมีร่างของเด็กสาวผู้งดงาม ลาเมียร์สาวเบื้องหน้าข้าตรงกับคำบรรยายเป๊ะเลย

ให้ขยายความหน่อย ส่วนที่ทำให้มีความรู้สึกต่อคุณแม่ผู้นี้ก็คือสีของท่อนร่าง เสห่น์ที่โปรยพุ่งออกมาจากเกล็ดเขียว เป็นส่วนที่ดึงดูดเกินกว่าจะละสายตาลง ดูท่าความชื่นชอบยังคงเป็นส่วนที่มีส่วนของมังกรหรือสัตว์จำพวกเลื้อยคลานอยู่ ประสบการณ์ชาติก่อน ข้าสามารถบอกได้ทันทีเลยว่าเธออยู่ในสภาพไหนเพียงมองดูจากเกล็ดที่แวววับ ลำตัวที่โค้งเรียบ กับความยื่นหยุ่นของเกล็ด ยิ่งเกล็ดที่ลุ่มๆดอนๆยิ่งเสน่ห์แรง ยิ่งแม่สาวผู้นี้ถือครองรูปร่างอันงามเลิศทั้งท่อนบนร่างมนุษย์และท่อนล่างร่างสัตว์เลื้อยคลาน ลาเมียร์อาจเป็นเพียงเผ่าเดียวที่ข้าสามารถยกนิ้วให้คะแนนเต็มสิบไม่ว่าจะใช้มุมมองมนุษย์หรือมังกร

หลังจากยืนจ้องมองกันอย่างเคอะเขิน ลาเมียร์ได้เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า เธอเลียริมฝีปากด้วยลิ้นยาว พยายามสร้างภาพไม่น่าดูด้วยปากที่ชุ่มไปด้วยน้ำลาย เธอยิ่งทำตัวน่าดึงดูดกว่าเก่า ไม่มีมนุษย์หน้าไหนจะติดเสน่ห์เธอได้หรอก สำหรับข้าเรอะ รู้สึกยอมใจเป็นเหยื่อให้เธอ ความจริงอาหารที่ลาเมียร์ต้องการมีเพียงพลังชีวิตเท่านั้น โดยเฉพาะพลังชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย จับเหยื่อไว้แล้วก็สูบเอาพลังชีวิตไป แต่ของโปรดที่สุดก็คือมนุษย์เพศชาย คนส่วนใหญ่ที่เผชิญกับลาเมียร์มักจะเป็นของว่างให้กับพวกเธอ สำหรับฉันในสายตาเธอผู้นี้ก็ไม่ต่างกันนักหรอก

หากชีวิตข้าเป็นสิ่งที่เธอคนนี้หมายปอง ข้าก็จะให้เป็นการล่าที่นรกเดือดแน่

"จะมีมนุษย์น่าโง่คนไหนที่มายุ่มย่ามแถวนี้คนเดียวกัน มีใครมาด้วยไหม ฉันสงสัยน่ะ?"

เสียงแสนหวานไพเราะเพราะพรึ้ง เสียงอย่างกับนักร้องประสานเสียงเพลงกังวาล ช่างหวามเหมือนน้ำผึ้งอะไรเช่นนี้ น้ำเสียงที่ปลื้มปิติ ไม่ใช้เสียงใครอื่นนอกจากแม่สาวผู้อยู่ตรงหน้าข้า แม่นี่ดูจะยังไม่แตกสาว ใช้มนต์เสน่ห์ตอนที่ถามหน่อยนึง เป็นกลที่ช่วยจับเหยื่อ ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ แต่ว่านะ มันฟังดูดาดๆไปหน่อย ยังกับลอกคำมาจากหนังสือ ถึงอย่างนั้นก็แสดงได้ดีทีเดียวแม้ออกจะหยาบอยู่หน่อยๆ  คงต้องฝึกลิ้นอีกหน่อย แต่การแสดงคงเสียเปล่าหากใช้มันเพื่อหาอาหาร

ข้าตอบเธอกลับไปด้วยเสียงที่สงบเสงี่ยม

"ไม่มีใครมาด้วย นอกจากฉันนี่เหรอะ"

"งั้นเหรอ ก็ดีไป"

พอได้ยินคำตอบ เธอเอามือแตะอกขนาดกลางๆแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก

สถานการณ์เช่นนี้ มนุษย์อย่างข้าคงกลัวจนใจหายแล้ว แต่เมื่อเห็นข้าสงบเสงี่ยม เธอคนนี้คงเริ่มสงสัยว่าต้องมีอะไรสักอย่างที่ไม่ธรรมดา ด้วยความสบายใจ ภาพจินตนการลาเมียร์ในหัวก็ระเหยออกไปเป็นแม่คนนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหน้า ขอบคุณมากๆ

จากนั้นแม่คนนี้ก็ได้ถามธุระที่มาแวะแถวนี้

ก็เลยสรุปเรื่องราวให้ว่าจะมาดูที่หนองน้ำแล้วก็วางแผนค้างคืนที่นี่ด้วย ระหว่างที่สังเกต บอกได้เลยว่าเธอคนนี้ระแวดระวังหรือจะให้พูดว่าหวาดกลัวข้าคนนี้

เพราะท่าทีที่สงบ สงบเสงี่ยม แม้จะเป็นที่รู้ดีในหมู่มนุษย์ว่าลาเมียร์เป็นพวกอันตราย  ทันทีที่ข้าขยับมือขวาเอื้อมไปจับด้ามดาบอย่างช้าๆ เธอรู้ตัวเริ่มแสดงสีหน้าหวาดผวาญแล้วขยับถอยห่างข้าหน่อยนึง ดูแล้วบุคลิกเธอจะเป็นคนอ่อนแอเกลียดการต่อสู้ ข้าก็รู้จักลาเมียร์เพิ่มขึ้นทีละนิด

"เดี๋ยวก่อน ฉันหมายถึง..."

ไม่รอให้เธอพูดจบประโยค ซักดาบฟาดลงไปในอุ้งมือโคลนที่เชื่อมกับผืนดินด้านหลังข้า แขนร่วงลงกับพื้นแล้วหยุดการเคลื่อนไหว

"...อย่าโจมตีเลย เอ่อ?"

ใช้เวลาครู่ใหญ่ก่อนจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น ข้าเก็บดาบเข้าปลอกแสดงถึงความไม่ประสงค์ร้ายแล้วก็อธิบายรายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้นที่หนองน้ำ สาเหตุที่ธาตุไม่สมดุลกันบริเวณรอบๆนี้

"เผ่าลิซาร์ดอาศัยอยู่ตรงนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่จำใจต้องย้ายหลังจากเกิดหายนะวิบัติขึ้นที่หมู่บ้าน ความเข้มข้นของธาตุดินบริเวณแถวนี้ไม่ปกติ ภูติวิญญาณคงคุ้มคลั่งเป็นเหตุให้เกิดหายนะบนโลกเบื้องบน ก็มีความเป็นได้อยู่ที่สถานการณ์จะเลวร้ายลงกว่าเดิม เผ่าลิซาร์ดตัดสินใจถูกแล้วที่จากหนองน้ำนี่ไป"

ระหว่างเล่าเรื่องให้ฟัง มีแขนโผล่จากผืนดินมาอีกหน่อย แต่ก็เจอดาบข้าฟันสวนกลับทันทีที่โผล่ขึ้นมา แขนพวกนี้เหมือนจะตามแหล่งพวกที่มีพลังงานเวทย์สูง จึงใช้สัมผัสที่เสริมความสามารถหาสาเหตุว่าทำไมภูติวิญญาณถึงคลุ้มคลั่ง ได้ลองแตะเข้าไปในโครงข่ายเวทยมนตร์ที่อยู่ในผืนดินเพื่อมองหาภูติวิญญาณที่คลุ่มคลั่ง จู่ๆพื้นดินที่อยู่ใต้เท้าก็กลายธรณีสูบ ตามสัญชาตญาณร่างกายก็โดดไปชิดซ้ายของทางลาเมียร์

"อ๊ะ โอ้ อะไรเนี่ย!"

ลาเมียร์ใจสบสนทันที

ฟุมุ ช่างน่ารักอะไรเช่นนี้

"ไหนๆก็ ลาเมียร์ใช้เวทยมนตร์ประเภทไหนได้บ้าง?"


ข้าถามขณะมองไปยังเธอ ที่เพิ่งฟื้นตัวกับการอายเริ่มคิด

"อืมม ชนเผ่าเราส่วนใหญ่ก็สังกัดธาตุน้ำ คู่ต่อสู้เป็นวิญญาณธาตุดินด้วยแล้ว..."

คุณลักษณะหรือสังกัดของแต่ละธาตุจะมีปฏิกิริยาตอบกลับเมื่อเจอกับอีกธาตุ คุณลักษณะธาตุดินมักจะมีชัยเหนือธาตุน้ำสรุปก็คือแม่คนนี้คงใช้เวทย์สู้กับภูติยากหน่อย เป็นที่รู้ๆกันหากต้องสู้กับเวทย์สายดินก็ต้องใช้เวทย์ลมเข้าสู้

"พูดอย่างกับเราเป็นเผ่าเดียวกันนั้นแหละ มันไม่โหดไปหน่อยเหรอเป็นเพียงมนุษย์ ฝ่ายนั้นเป็นถึงภูติธรณีเชียวนะ หึหึ"

ดูเหมือนจะโดนดูถูกให้ซะแล้ว ก็ไม่ผิดหรอกถึงบอกอายุเลขสิบหกไป ก็เป็นคนธรรมดาที่มีเพียงมือกับเท้าไม่มีวันชนะพวกภูติได้ ฉันคิดก็ได้หันกลับเห็นใบหน้าที่บ่งบอกความท้อแท้ของเธอ บนพื้น หนึ่ง สอง สาม... ขณะกำลังนับก็นึกขึ้นได้ว่ามันเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ก็เลยตัดแขนลงเลย

"มีเวทย์ที่เผ่าเราเชี่ยวเป็นพิเศษใช้สำหรับสู้กับพวกภูติ แต่ต้องใช้เวลาเตรียมตัว"

"อย่างงั้นเองเหรอ เอาล่ะ แผนก็คือผมจะอยู่หน้ากันเธอให้ แล้วเธอก็ไปเตรียมตัวปลดปล่อยพลังเวทย์ ผมเก่งเรื่องลุยเดี่ยว หากมาร่วมสู้ด้วยเธอจะเป็นตัวเกะกะขวางทางเสียเปล่า"

เธอพนักหน้า


เราเพิ่งพบกันแท้ๆต้องเผชิญกับศัตรูแสนอันตรายข้ายังวางแผนเสี่ยงให้ตัวเองอีกใช้เวลาคุยกันสั้นๆก็มั่นใจว่าแม่คนนี้เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการแก้ปัญหาครั้งนี้ อย่างน้อยเราไม่ต้องมามุ่งร้ายใส่กันเอง

พูดตามตรง ก็ไม่ได้หวังจะให้เธอตอบกลับมาเสียด้วยซ้ำ

"ถ้าให้พูดแล้ว ทางนี้ขอกล่าวขอบคุณนายเป็นการล่วงหน้าเลย"

"คำเมื่อกี๊ใช้สำหรับคนที่ต้องการยื่นขอแต่งงานนะเธอ"

"เอ่อ อ่า โอ้ เมื่อกี๊ต้องขอโทษด้วย"

แม่คนนี้ทำแต่เรื่องน่าขบขันจริงๆ ข้าคิดเออเองแล้วก็เริ่มวิ่งไปหาแขนที่ติดกับพื้นดิน

แขนโคลนถูกควบคุมโดยภูติธรณี เป็นเพียงเศษวิญญาณเท่านั้น ข้าเลยฟันมันทิ้งไปแบบไม่ต้องลังเลซื้อเวลาให้แม่สาวคนนี้ การซะล้างภูติธรณีที่กำลังคลั่งทำได้หลายวิธีแต่สถานการณ์แบบนี้เราตัดสินใจจัดการแล้วส่งกลับสู่โลกวิญญาณดั่งเดิม หากแม่คนนี้ไม่โผล่มา ก็ตั้งใจใช้แผนปล่อยพลังงานเวทย์ลงไปในผืนดินล่อเจ้าภูติ เมื่อติดกับก็จัดการร่างจริงแล้วส่งกลับไปสู่โลกเดิม ซึ่งต้องใช้พลังมหาศาล ก็พอมีพ่อมดผู้มีพรสวรรค์และได้รับการฝึกฝนหรือกลุ่มผู้กล้าทั้งเจ็ดที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ มนุษย์ปกติทั่วไปก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่เพราะแกนกลางวิญญาณมนุษย์ธรรมดาผลิตเวทย์มนตราได้ช้า

เพื่อไม่ให้แขนเข้าไปถึงตัวก็เลยแอบใช้เวทย์ระดับขั้นมังกรนิดหน่อยตัดแขนที่เพิ่งโผล่มาทันทีทำไปเรื่อยๆก็เหมือนกับเล่นเกมแต่ไม่ว่าจะฟันไปเท่าไหร่พวกนี้ก็โผล่กลับมาอีกหากยังมีแหล่งพลังงาน ขณะกำลังถ่วงเวลา ก็สังเกตเห็นแขนที่เล็ดลอดโดยใช้จุดบอดหลุดเข้าไป แน่นอนว่าประสาทสัมผัสได้รับการเสริมพลังช่วยกลบจุดบอดได้หมดก็เลยไม่เป็นห่วงไรนัก

ข้ายังวิ่งเต้นในสนามศึกต่อไปโดยไม่พักเหนื่อยพร้อมฟันแขนไม่ว่าจะอยู่ในสายตาหรือไม่ก็ตาม  พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อไม่ให้แขนหลุดไปข้างหลัง ท้ายสุดก็เริ่มเหนื่อยลงร่างกายมนุษย์ก็มีขีดจำกัด ซึ่งก็เป็นไปตามที่ตนเองคาด แม้แขนจะมาไม่หยุดหย่อนข้าก็ทำตามหน้าที่ตนต่อไป ถึงแม้จะใช้เวทย์เสริมความแข็งแกร่งให้ทางกายภาพตน ศึกครั้งนี้เป็นศึกตัดสินความอดทน ในอดีตก็มีคนมาท้าสู้กับข้ามังกรผู้มีพลังที่ไร้ขีดกำจัด ซึ่งการจัดการในรอบเดียวเป็นเรื่องกล้วยๆ สถานการณ์ตอนนี้กลับกันเพราะต้องคอยฟันแขนที่โผล่มาเรื่อยๆไม่มีวันหยุด คำสวดเริ่มทำให้วิญญาณคุ้มคลั่ง ศึกจริงเริ่มต่อจากนี้ไป

" 「ข้า ลูกหลานเจ้าหญิงเชื้อพระวงศ์ มากล่าวขอต่อท่านเซอร์เพินท์ผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้ถึงเวลา ได้โปรดมอบพลังให้แก้ข้า เพื่อขอใช้พลังปราบศัตรูผู้อยู่เบื้องหน้าข้า」"

เมื่อนานมาแล้วพระเจ้าเซอร์เพินท์มอบคำสาปแก่หญิงสาวทำให้ท่อนร่างเธอเปลี่ยนเป็นงู เพราะเหตุนี้จึงถูกเนรเทศ แม่สาวคนนี้ยังสวดต่อไป มีร่างของเซอร์เพินท์เริ่มทำการควมคุมดินที่เป็นโคลน พวกแขนจดจำเซอร์เพินท์เป็นศัตรูทันที ทั้งหมดจึงเลิกให้ความสนใจข้า ร่างเซอร์เพินท์นั้นใหญ่โตพอจะกลืนผู้ใหญ่ได้สองหรือสามคนในคราวเดียว แขนพวกนี้ไม่มีวันสู้เซอร์เพินท์ตนนี้ได้ เมื่อเซอร์เพินท์แตะแขน แขนก็จะถูกทำลายไม่มีวันฟื้นคืน

"ฟุมุ"

ข้าถอนหายใจเบาๆ

พลังระดับนี้ใช้ให้นานและยังควบคุมอีกมันเป็นอะไรที่ยากมาก แต่เวทย์แม่สาวลาเมียร์ผู้นี้มีพลังเยอะกว่าที่คาดไว้เสียอีก ด้วยความสามารถที่ยังใช้ท่าต่อได้แถมยังควบคุมได้อย่างแม่นยำอีก แม่นี่มีแววจะเป็นยอดแม่มดจริงๆ

ผ่านไปสักพักพวกแขนที่พุ่งโจมตีใส่เซอร์เพินท์ก็หยุดลงหายไปเลยล่วงกลายเป็นโคลนตามเดิม คิดถูกล่ะที่ขอความร่วมมือด้วยทักษะการใช้ดาบตอนนี้จะให้ล้มแขนทั้งหมดก็เป็นการยากอยู่ สุดสายตา เห็นลาเมียร์สาวกำลังพักไหล่ ข้าก็เลยทำการตรวจสอบบริเวณอีกรอบก่อนจะพัก

"เธออย่าเพิ่งประมาณไปล่ะ มีความรู้สึกว่าเจ้าภูติมันจะเผยร่างที่แท้จริงตนเองออกมา"

"อ่า ค่ะ"

ประทับใจความสามารถของเธอจริงๆ  กลางบ่อโคลนโคลนค่อยๆผลุขึ้นมาอย่างช้าๆ ผิวหน้ามันเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและยังคงขยายใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก ในที่สุดภูติธรณีที่คลุ้มคลั่งก็เผยตัวจริงเสียที นี่คงเป็นตัวการให้เกิดแผ่นดินไหวเมื่อสิบปีก่อนแล้วก็เป็นตัวการที่ทำหนองน้ำนี้ไร้วี่แววสิ่งมีชีวิตอื่น สาเหตุที่ทำไมมันถึงได้ตัวใหญ่แล้วทรงพลังก็คงเพราะดูดพลังจากน้ำที่อยู่บริเวณแถบนี้เป็นเวลายาวนานถึงทศวรรษ

ข้าสงสัยว่าแขนที่เคยโผล่ก่อนหน้านี้เป็นร่างชั่วคราวดูเหมือนข้าจะคิดถูก รูปร่างตอนนี้มันคือท่อนบนมนุษย์ทำจากโคลนโคลงเคลงไปมา ก็สูงราวๆสองชั้นได้ บางช่วงมีลักษณะคล้ายท่อนบนมนุษย์ มีรูสองรูใกล้ๆบนสุดตัวมัน ก็เดาว่าเป็นลูกกะตามัน

ร่างโคลนดำเริ่มเข้าหาเราด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง ปล่อยแรงกดดันคุกคามเป็นอย่างหนัก เริ่มส่งผลถึงลาเมียร์ที่อยู่เบื้องหน้า แรงกดดันเริ่มส่งผล หากใครทรับแรงกดดันอยู่นานคนๆนั้นคงสติแตกแน่นอน แม้แต่แม่สาวคนนี้ถึงจะอัญเชิญเซอร์เพินท์ใหม่ก็คงปราบมันไม่ไหวแน่ ข้าหยุดนิ่งชั่วขณะเพื่อตั้งสติไม่ให้ความเครียดกันกินตนเองแล้วก็วิ่งไปเพื่อรั้งแม่สาวคนนี้ที่กำลังตะโกนคำสวดงี่เง่าอีกรอบ



"ปล่อยฉันนะ เจ้านี่ไม่มีทางสู้วิญญาณอสูรของฉันได้หรอก"

"เอ่อ แต่มันดูอันตรายเชียวนะ"

ผื้นดินที่เป็นโคลนหนำซ้ำยังลื่นอีก ยิ่งทำให้วิ่งลำบากไปอีกขั้นแต่ข้าก็ยังขนาบไว้ ภูติที่คุ้มคลั่งเคลื่อนเข้าหาจากกลางหนองน้ำแล้วเริ่มยิงลูกโคลนใส่ทางพวกเรา หากใครโดนลูกโคลนที่แฝงเวทย์เข้าไปก็คงไม่สบายไปทั้งตัวแน่ ข้าหลบได้อย่างไม่ยากเย็นเนื่องจากลูกโคลนมันช้าอยู่หน่อย

ภูติยังยิงลูกบอลโคลนใส่ทางข้าอย่างต่อเนื่อง ข้าหลบได้ทุกลูก บางลูกก็เกือบโดนตัวให้เข้าแล้ว มองสายตาภูติจ้องมองมายังตัวข้า ข้าคงเป็นเป้าหมายหลัก จ้องมาอย่างนี้ก็เดาได้สิ ทุกครั้งที่ลูกบอลโคลนโดนผืนดินก็ทำให้เกิดหลุมใหญ่พอสมควร หากยังสู้แบบนี้ต่อไปสุดท้ายหลังเสร็จเรื่องบริเวณแถบนี้คงเป็นท้องทุ่งที่มีหลุมเรี่ยราดแน่ หนทางที่จะหยุดมันโดยเร็วก็คือทำลายร่างต้นมัน

"ด้วยคมเขี้ยวพิษร้ายเซอร์เพินท์อสรพิษที่ฝังอยู่ในสายเลือด ข้าขอปลดปล่อยพลังใส่ศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าข้า"

คำสวดที่คุ้นเคยมาจากแม่สาวที่อยู่หลังข้า ไม่นานนักร่างโปรงใสเซอร์เพินท์ที่คุ้นหน้าปรากฏตัวโลกเบื้องบนอีกครั้ง เซอร์เพินท์ไม่ยอมเสียเวลาโจมตีเข้าใส่ภูติที่คลุ้มคลั่งพยายามฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่ทั้งสองสู้กัน ข้าเห็นของเหลวสีม่วงย้อยออกมาจากเขี้ยวต้องเป็นคำสาปพิษร้ายแน่ ดูเหมือนจะทำให้ภูติที่คลุ้มคลั่งกลายสภาพเป็นกลุ่มเวทย์หนาแน่น ตัวมันก็เริ่มสั่นสะเสือนต่อหน้าข้า

ข้าไม่ระมัดระวังคิดไปเองว่าเซอร์เพินท์ล้มเจ้าภูติได้ด้วยพิษร้ายเพียวๆ มองในแง่ดีความเร็วในการเคลื่อนไหวของภูติที่คลุ้มคลั่งลดลงไปมหาศาล เมื่อข้าเข้าใกล้ภูติที่คลุ้มคลั่งก็ยกแขนที่บาดเจ็บจากพิษร้ายฟาดลงมายังตัวข้าเป็นแรงที่สามารถพังทลายบ้านหลังหนึ่งได้โดยง่ายยิ่งร่างคนตัวเล็กๆยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่เพราะความเร็วที่ตกลง ข้าก็โดดหลบไปข้างๆพ้น

แม่สาวลาเมียร์ปล่อยเสียงกรีดร้องเบาๆเพราะคิดว่าข้าถูกขยี้

ข้าใช้ดาบที่ซึมซัมเวทย์ตัดแขนซ้ายภูติขาดออกด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวด้วยดาบที่ซึมซัมพลังเวทย์ระดับจ้าวมังกร เปลี่ยนให้เป็นยอดดางบอยู่เหนือเล่มอื่นที่เคยมีมา แขนที่ถูกตัดเมื่อหล่นสู่ผืนดินก็เปลี่ยนเป็นโคลนผิวสีดำค่อยๆหายไป ภูติโคลนตัวนี้ยังยืนอยู่ ข้าถีบส่งตัวเองจากผืนดินบินไปบริเวณเป้าตามัน แม้จะสยองแค่ไหนก็ตาม ตาคู่นั้นจ้องมองตัวข้าระยะเผาขน

ใจเจ้ามันแปดเปื้อน สภาพแวดล้อมแถบนี้ต้องประสบปัญหาเพราะตัวเจ้า ข้าตัดสินใจแล้วข้าผู้นี้แหละจะส่งเจ้ากลับสู่โลกวิญญาณโลกที่เจ้าสมควรอยู่ ข้าคิดในใจพร้อมกับความแน่วแน่ที่จะปราบภูติตัวนี้

ภูติที่คุ้มคลั่งเริ่มเปลี่ยนร่างโคลนส่วนนึงเป็นหอกแล้วพยายามแทงข้า ถึงจะอยู่กลางอากาศข้าก็ยังเร็วกว่า ข้าใส่เวทย์ลงไปในดาบเล่มนี้ เมื่อดาบเริ่มเปร่งแสงก็เหวี่ยงดาบฟันอีกรอบ ข้าผ่าภูติออกเป็นสองส่วน

"นายทำได้"

หลังจากที่ลงถึงพื้นก็ได้ยินเสียงส่งเชียร์จากแม่สาวลาเมียร์ เมื่อได้ยินก็ปล่อยประโยคติดปากอย่างภาคภูมิใจแล้วแสดงความสงสารต่อภูติให้เล็กน้อย

"ฟุมุ"

ด้วยเหตุนี้ข้าได้ทำการค้นพบและกำจัดสาเหตุที่นำพาหายนะเมื่อสิบปีก่อนลงได้สำเร็จ ธรรมชาติจะกลับคืนสู่สมดุล แต่คงต้องให้เวลาสักพักให้ธรรมชาติฟื้นฟูสภาพเอง ข้าปล่อยให้หน้าที่ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการทางธรรมชาติ ร่างภูติที่ถูกผ่าซีกได้กลายเป็นกองโคลนสองกอง เมื่อร่างโคลนของภูติตกลงไปในหนองน้ำทำให้เกิดคลื่นโคลนซะล้างแม่สาว ข้างั้นเหรอ ข้าหุ้มตัวเองด้วยเวทยมนตร์ป้องกันไม่ให้โคลนแอ้มหน้ากับเสื้อหรอก คลื่นชัดเข้าไปมานานเจ็ดวินาที ดูเหมือนรองเท้าข้าจะเต็มไปด้วยโคลนและน้ำแฉะๆอีก ข้าเดินไปยังชายฝั่งที่แม่สาวยืนอยู่

"เอ่อ เอ๊ก ดูเหมือนจะมีโคลนติดปากอยู่น่ะ เสื้อผ้าฉันก็เปลื้นโคลนไปทั้งชุดด้วยสิ"

ไม่เหมือนกับข้า แม่สาวคนนี้เปื้อนโคลน ผมทองเธอก็โดน หนำซ้ำเสื้อผ้ายังเปียกซุ่มอีก ค้นของในกระเป๋า  ข้าหยิบกระติกหนังออกแล้วยื่นให้เธอ

"เอานี่ไปสิ เธอควรล้างปากด้วยน้ำซะหน่อยนะ"

"โอ้ ขอบคุณค่ะ"

"ไม่ต้องหรอก กลับกันเลยทางนี้ต่างหากที่ต้องขอบคุณ เธอช่วยไว้ได้มากเลย ยังไม่ได้นี่กันเลยนะ ผมชื่อดรานมาจากหมู่บ้านที่อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้จากที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จัก หากช่วยบอกชื่อตัวเองหน่อยได้ไหมครับ"

ขณะที่ถือกระติกน้ำ เธอแกว่งท่อนร่างให้สายตาข้ามองเห็นและโค้งคำนับแล้วบอกชื่อเธอ

"ฉันซีเรียก็อย่างที่เห็นฉันมาจากชนเผ่าลาเมียร์"

"ฟุมุ ชื่อซีเรียงั้นเหรอ ชื่อเพราะจริงๆพ่อแม่ตั้งให้สินะ"


ซีเรียยิ้มอย่างเขินอายเมื่อได้ยินคำชม ดูเหมือนเธอจะดีใจที่มีคนเชิดชูพ่อแม่ คงสนิทชิดเชื้อกันดี เป็นเรื่องดีที่พ่อแม่ลูกสนิทสนมกัน หลังจากใช้ชีวิตมนุษย์มาสิบหกปีข้าเข้าใจดีเลยล่ะ หลังจากที่เราทุ่มกำลังเพื่อฟันฝ่าอุปสรรค ก็เป็นไปตามธรรมชาติที่ข้าต้องแนะนำตัว แต่อีกใจนึงบอกแส่หาเรื่องยุ่งๆอีกจนได้ เพราะเผ่าของแม่สาวคนนี้เป็นเผ่าที่มนุษย์พยายามหลบเลี่ยงพบกันล่ะนะ


โปรดติดตามตอนต่อไป


เครดิต https://binhjamin.wordpress.com/sayonara-ryuusei-konnichiwa-jinsei/volume-1/chapter-2/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น