26/6/58

Sayonara Ryuusei Konnichiwa Jinsei บทที่3

บทที่3
ซีเรีย
(-selia-)

หน้าตาซีเรียแบบชัดๆ


เนื่องจากเปียกน้ำโคลนไปทั่วทั้งตัวรวมถึงเสื้อผ้าด้วยก็เลยรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเลย ขณะถือกระติกหนังเพื่อล้างปาก ดรานมองดูฉันในสภาพนี้ด้วยสีหน้าเป็นกังวล ไม่เหมือนฉันที่ต้องเจอน้ำโคลนเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว กับกันเลยกับทางดรานที่แห้งสนิทตั้งแต่หัวจดเท้า

เมื่อมองหน้าเขาด้วยความไคร่รู้ เขายักไหล่แล้วปล่อยเสียงหัวเราะเบาๆ นี่ฉันทำอะไรแปลกไปงั้นเหรอ? หรือตอนล้างปากมันมีเรื่องน่าขำมางั้นเหรอ?

"เธอก็รีบๆล้างโคลนออกซะซี่ เดี๋ยวก็เป็นหวัดเสียหรอก มีชุดสำรองไหมล่ะ?"

ดรานบอกฉันพร้อมส่งสายตามาทางกระเป๋าสะพายไหล่ที่เปรอะเปรื้นด้วยน้ำโคลน ฉันแทบจะไม่หวังของข้างในจะอยู่รอด



แต่ก็รอดมาได้!

ตอนที่ตัดสินใจเดินข้ามหนองน้ำนี้มา ฉันก็ทำการห่ออาหารและเสื้อผ้าไว้ในกระเป๋าอย่างระมัดระวังเรียบร้อยเผื่อมันจะเปียก รู้อะไรไหม?ที่เตรียมตัวไปบังเอิญมันช่วยในโอกาศแบบนี้ได้เหมาะเจาะ

ขณะพยายามล้างปากเป็นครั้งสุดท้ายก็ตรวจดูให้แน่ใจว่าดรานไม่ได้แอบมอง ฉันพ่นของสำรอกออกแล้วทำความสะอาดริมฝีปากอย่างรวดเร็ว เมื่อกี๊ทำตัวหยาบกระด้างไปหน่อยรึเปล่า? แม่ฉันเห็นเข้าคงโกรธจัดแน่

"ใช่แล้ว ในเมื่อมีบ้านของเผ่าลิซาร์ดอยู่นี่ คงใช้เป็นที่เปลี่ยนเสื้อผ้าได้" พูดน้ำเสียงปนความภาคภูมิอยู่หน่อย ดรานยิ้มอีกแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรแปลกไปนี่แล้วทำไมยังถึงหัวเราะอีกล่ะ? หรือชายผู้นี้มีอาการป่วยทางจิต?

เมื่อฉันเดินตรงไปหาเขาเพื่อคืนกระติก เขารับคืนพร้อมพูด

"ก็ซีเลียเป็นลาเมียร์ที่ต่างจากที่ผมจินตนาการไว้นี่ ก็เลยสนอกสนใจ อ้อ แล้วก็ตอนที่เราพบกัน ซีเรียทำหน้าฉงนแต่พอมาเจอเรื่องภูติด้วยหน้านั้นเหมือนหายไปเอง ก็พอดูออกว่ากังวลเกี่ยวกับมนุษย์พอสมควร"

เมื่อได้ยินดรานพูด ฉันก็เห็นด้วย ดรานเป็นมนุษย์ ฉันเป็นสัตว์ร้ายลาเมียร์ มนุษย์สมควรกลัวลาเมียร์ ก็ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อหรอก หากดรานจะหันดาบมาทางฉัน หลังจากสู้กับภูติที่คลุ้มคลั่งเมื่อครู่ ฉันลืมระวังตัวไปเลย ความจริงก็คือไม่ควรรับกระติกจากมือชายคนนี้ด้วยซ้ำ

"อ้อ เอ่อ ทางนี้ก็ขอโทษด้วย"

เมื่อไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรดี ฉันก็เลยขอโทษดรานไป จากนั้นดรานก็ยักไหล่เป็นการแสดงออกที่เหมาะกับเขาเสียจริง

ดรานมีดวงตาฟ้าสว่างแสดงถึงอ่อนโยน สีเดียวกับวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง สีในนัตย์ตาที่ช่วยใจคนสงบ หากมองเข้าในดวงตาคู่นั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าดวงใจกับจิตของคนมองจะยอมตามกัน ฉันสงสัยทำไมดรานถึงไม่โจมตีฉัน ถ้าเอาจริงก็ทำได้หรือมีเหตุจูงใจอื่นแฝงอยู่อีก?

"ไม่ต้องขอโทษอะไรหรอกนะ ผมเองก็ไม่ตั้งใจจะร่วมมือกับเธอเหมือนกันแหล่ะ พักเรื่องนี้ไว้ เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนสิ"

ดูเหมือนดรานจะไม่ตามแหย่

พ่อแม่สอนให้คบคนอย่างมีสติ มนุษย์ใสซื่อคนนี้ยิ่งน่ากลัวกว่าอยู่ แม้จะรู้สึกโล่งอกกับคำพูดอ่อนโยนและการแสดงออกของดรานก็ตาม ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายไม่มีความตั้งใจแบบป่วยการเลย ฉันเดินตรงไปบ้านชนเผ่าลิซาร์ดเพื่อหาที่เปลี่ยนเสื้อผ้า ดรานก็ตามฉันมาด้วย ไม่มีใครอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้แล้ว บ้านส่วนใหญ่หลังคาก็ผุพังลงมา กำแพงบ้านก็แตกร้าว ไม่มีพื้นไม้อีก ให้คะแนนโดยรวมก็ไม่ใช่สถานที่เหมาะกับพักอาศัยแม้แต่นิด ฉันเองก็อุตส่าห์หาบ้านที่ดูสะอาดสะอ้านที่สุดเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าวัดจากตัวบ้านหลังนี้คงเป็นของผู้ใหญ่บ้าน

ขณะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็กำจัดน้ำโคลนที่ติดอยู่บนผมออก ดรานรออยู่ด้านนอกบ้าน แม้จะเป็นบ้านหลังที่ดูดียังไงกำแพงบ้านก็ยังร้าวแตกหักอยู่ดี รู้สึกกระวนกระวายไปใหญ่หากดรานแอบถ้ำมอง แต่ดรานก็ยังยืนอยู่ข้างนอกไม่มีทีท่าจะย่องเข้ามาในบ้าน

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ฉันเดินออกไปหากเขาขณะในมือกระเป๋าเปื้อนโคลนที่เก็บของใช้ที่พกติดตัวมาด้วย เมื่อมองไปทิศสายตาเขาที่มองไปยังทิศตะวันตก ช่วยเตือนฉันว่าพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าเข้าสู่ช่วงพกค่ำซึ่งเร็วกว่าที่คิดไว้คงเพราะยังเพิ่งต้นฤดูใบไม้ผลิตด้วยล่ะมั้ง แต่กระนั้นพระอาทิตย์ยังตกดินเร็วไปอยู่ดี

"เริ่มเตรียมตัวตั้งแคมป์ที่พักดีกว่า ผมเตรียมอาหารก่อนแล้วค่อยทำเสื้อผ้าให้แห้ง นั้นเป็นแผนที่ผมเตรียมไว้คืนนี้ ซีเรีย แล้วแผนเธอล่ะ?"

"ฉันเองก็ตั้งใจจะค้างที่นี่ ยิ่งครอบครัวมีธาตุน้ำเข้มข้นแล้วก็ที่นี่มีทั้งธาตุน้ำและธาตุดินผสมกันแรงก็เลยช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายลง"

เมื่อถึงตอนบอกว่าเสื้อผ้าอาจเปียกได้ง่าย ดรานหันกลับไปด้วยสีหน้าเป็นกังวลอยู่หน่อย แล้วก็เดินไปสำรวจบริเวณรอบๆ เพื่อที่จะเตรียมอาหาร การจุดไฟคือสิ่งที่จำเป็นแล้วที่ตั้งยิ่งได้ที่ไกลๆจากพื้นเปียกๆยิ่งดี ฉันชี้ไปทางต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไป แม้จะไม่แห้งสนิทแต่ก็แห้งพอสำหรับจุดไฟได้ พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเรียบร้อย หากยังตั้งแคมป์ที่พักไม่เสร็จคงเป็นอันตรายแน่ เพราะงั้นจะเป็นการดีหากเราสองคนก็ทำทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปไป

"งั้นก็ช่วยกันเร็ว"

"ค่ะ"


เมื่อเห็นอาหารที่นำมาจากบ้านปลอดภัย ยิ่งพอสำหรับเราทั้งคู่ดรานกับฉัน ก็แอบอดดีใจไม่ได้ เราตั้งแคมป์ที่พักห่างจากหนองน้ำพื้นที่ที่มันแห้งแล้วก็มีหินใหญ่วางกั้นอยู่ทางขวาของที่ตั้งแคมป์ มีรังสีร้อนแผ่ออกจากก้อนหิน

เพื่อที่จะนอน จำเป็นต้องปูผ้าปูที่นอนลงไปกับพื้นแล้วก็ตามด้วยผ้าห่ม เราจุดไฟเผาตรงกลางแคมป์เพื่อจะไม่ให้อากาศหนาวช่วงตอนกลางคืน เพื่อจะให้ไฟลุกตลอดทั้งคืน ดรานกับฉันผลักกันใส่ฝืน

ลาเมียร์ถือเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ทนต่ออากาศหนาว เลยต้องงอส่วนท่อนงูแล้ววางผ้าห่ม ส่วนอีกผืนเล็กก็ใช้ห่มตัวเอง

ปกติ การมาตั้งแคมป์ไฟทำอาหารช่วงพกค่ำถือเป็นเรื่องอันตรายสำหรับมนุษย์เพราะสัตว์ป่าแม้จะกลัวไฟแต่กลิ่นอาหารมันดึงดูดจนหายกลัวไฟไปเลย แต่คืนนี้ไม่เป็นไรเพราะการมีตัวตนของฉันนี่แหละ ไม่มีสัตว์ป่าตัวไหนกล้าย่างเข้าใกล้หาเรื่องกับสัตว์ร้ายอย่างฉันหรอก แต่เวลาเดียวกันก็รู้สึกเหงางอยเมื่อรู้ดีว่าไม่มีสัตว์ตัวไหนยอมเข้าใกล้ด้วยความเต็มใจ

ขณะนอนลงใกล้กองไฟห่มตัวด้วยผ้าห่มอุ่นๆ รู้สึกดีมากเมื่อมีคนคุยด้วยหลังจากที่เงียบหงอยคนเดียว ถึงจุดทีเริ่มประหลาดใจที่ตัวเองอยากจะพูดกับคนอื่น ก็เลยเริ่มเล่าเรื่องตนเองให้ดรานฟัง

ฉันเกิดและเลี้ยงดูที่หมู่บ้านชนเผ่าลาเมียร์ในภูเขาทางเหนือที่แสนไกลออกไป ลาเมียร์วัยทากรกเกิดจากลาเมียร์และสามีซึ่งเป็นอีกเผ่า อาศัยด้วยกันในหมู่บ้าน มีกฏอยู่ว่าหากลาเมียร์อายุครบสิบเจ็ดเมื่อนั้นต้องออกจากหมู่บ้านตามหาสามี ตอนที่ฉันอายุครบสิบเจ็ดปีก็ต้องจากหมู่บ้านตามหาสามีตามกฏเหมือนกัน เผ่าพันธุ์ลาเมียร์มีคุณสมบัติพิเศษก็คือมีเพียงผู้หญิงเท่านั้นหากคลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย ยืนยันร้อยเปอเซ็นต์จะเป็นเผ่าเดียวกับฝ่ายคุณพ่อ ไม่มีข้อยกเว้น แล้วก็จำเป็นที่ลาเมียร์ต้องมีคู่หูต่างเผ่าด้วยแม้จะไม่ใช่เพศผู้ก็ตาม

เมื่อนานมาแล้ว ชนเผ่าลาเมียร์ก็กำเนิดมาจากมนุยษ์ที่โดนคำสาปจากพระเจ้า บรรพบุรุษลาเมียร์ที่แบกรับคำสาปส่งต่อถึงลาเมียร์ทุกรุ่น ช่วงร่างจะเป็นงู เลือดจะมีพิษร้ายรวมถึง เหงื่อ น้ำลายและอื่นๆ ลาเมียร์จะเลือกสามีโดยการทดสอบดูว่าเขาทนพิษได้หรือไม่

หากไม่ หากฉัน...ขอคิดก่อน...ใช่...หรือ...จูบเขา มีลูกด้วยกัน เขาอาจตายด้วยพิษร้ายคงเป็นการตายที่แสนเลวร้าย อ่าา หน้าฉันเริ่มรู้สึกร้อนอีกครั้ง เพราะดรานเป็นนักฟังที่ดี ฉันตั้งใจจะไม่พูดเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ เมื่อเรื่องเล่าฉันจบลง อาหารก็เสร็จพอดีจากนั้นหม้อก็ว่างเปล่า

เมื่อเขาพูดถึงถึงสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างพี่ชายกับน้องคนเล็ก ทั้งสองผลักกันเป็นผู้ฟังฟังเรื่องอีกฝ่ายเล่าถึงที่บ้าน ก็เลยเสริมให้บอกว่าตัวเองดูแลเด็กในหมู่บ้านเก่งด้วยท่าทางที่ภาคภูมิ เมื่อกี๊ทำตัวเป็นเด็กไปไหม?เหมือนทำตัวหยาบต่อหน้า ดรานอายุสิบหกปีนี้ส่วนฉันก็เพิ่งอายุครบสิบเจ็ดเมื่อไม่นานก็เท่ากับว่าฉันเป็นพี่สาวสินะ?

ฉันเก็บความไม่พอใจไว้ในอก ขณะที่ดรานทำความสะอาดหม้อกับช้อนและกำลังเก็บเข้าที่อยู่ก็พูดขึ้นมา

"ก็ตอนที่แก้มพองอย่างเมื่อกี๊ เธอก็ดูเหมือนเด็กๆเลยน่ะสิ"

"อ้อเหรอ มีอะไรออกจากปากฉันงั้นสินะ?"

ฉันตอนกลับไปตามสัญชาตญาณทันที ดรานหัวเราะเข้าไปใหญ่! การตอบสนองเมื่อครู่นี้คงตลกมากเลยสินะ

เปล่าๆ ผมขอโทษด้วย ไม่ได้จะทำให้ซีเรียดูโง่หรอกนะ ก็แ

"ฉันมีทางโดนหลอกเด็ดขาดยิ่งพวกใช้ปากประจบสอพลอด้วย"

"ผมต้องขอโทษด้วยนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดลบหลู่ซีเรียเลย ได้โปรดรับคำขออภัยผมด้วยเถอะ"

"ฟันดะ"

"ผมไม่ค่อยสบายเท่าไรที่ต้องทำให้ซีเรียต้องขุ่นเคืองด้วย...ตายเถอะ! แต่ว่าตรงสะดือลงมารู้สึกมันโค้งไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเลยนะ ซีเรีย?"

ฉันหันไปอีกทางยังหงุดหงิดอยู่เลยเมื่อโดนปฏิบัติเหมือนเป็นเด็ก และยิ่งหากหันกลับไปหมอนี้ก็คงยักไหล่ตามเคยแล้วมองฉันเป็นเด็กนิสัยเสียแน่

อืออ พอรู้สึกอีกทีก็เหมือนทำตัวเป็นเด็กยิ่งกว่าเก่า

เมื่อคิดย้อนกลับไป ที่พูดออกมาคงทำให้ฉันดูเป็นเด็กสินะ ไม่มีทางหรอก หากยกธงขาวตรงนี้ก็เท่ากับขุดหลุมฝังศพตัวเองสิ ฉันหันกลับไปทางดรานจ้องมองดูเขาอีกครั้ง

"ฉันยอมล่ะ ฉันเป็นเด็กน้อย โอเคยัง? ส่วนเรื่องสะดือล่ะก็ ตั้งแต่ส่วนนั้นลงมาจะเป็นร่างลาเมียร์ส่วนงู"

หลังจากที่ตอบ ก็เอามือซุกในผ้าห่มห่อร่างมนุษย์ไว้แน่น ก็สงสัยมานานล่ะหากขาฉันเป็นมนุษย์ผู้หญิงแล้วจะเป็นยังไงตรงสะดือเผ่าลาเมียร์ทุกตนเป็นอย่างเดียวกันหมด ไม่ว่าแม่ ฉัน หรือใครก็ตามที่เป็นเผ่าลาเมียร์ ก็เป็นเพราะเผ่าเราออกลูกเป็นตัวไม่ใช่ออกลูกเป็นไข่

ดึงผ้าห่มไว้แน่น แล้วก็ยังเล่าเรื่องพ่อแม่ตนเองกับดรานต่อ แม่ที่เป็นลาเมียร์ พ่อที่เป็นมนุษย์ แม่ออกไปล่านอกหมู่บ้าน ขณะที่พ่อทำไร่ในหมู่บ้าน แล้วฉันที่ทำงานบ้านร่วมกันสามคน


"แม่เคยผจญแบบที่ฉันผจญอยู่ ออกเดินทางพบพ่อกลายเป็นคู่รัก กลับมาหมู่บ้าน ฟุฟุฟุ หม่าม๊ากับป๊ะป๋าเป็นคู่รักที่มีความสุข"

แม้จะไม่พบ "คน"ที่ใช่เจอ แต่ก็ได้แต่หวังพบคนดีสักคนแล้วก็เริ่มครอบครัวดั่งที่แม่เคยทำ เมื่อตอนพ่อแม่เล่าอดีต ทั้งสองเริ่มบรรยากาศเศร้าโศก แม้การแต่งงานกับเผ่ามนุษย์ของลาเมียร์จะเรียบง่าย แต่สำหรับทางฝ่ายมนุษย์ก็อีกเรื่อง แม้พวกเขาจะรักซึ่งกันและกัน ก็มีอุปสรรคขวางทางพวกเขาทั้งสอง ฉันก็เลยหยุดถามถึงอดีตพ่อเมื่อรู้สึกตัว แม่กับพ่อรักกันต่อไปก็ดีแล้วไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้นเรื่องเศร้าๆ

"อย่างงั้นเองเหรอ? การแต่งงานระหว่างมนุษย์กับเผ่าพันธุ์อื่นเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วก็นะ เธอคล้ายแม่ไหม? จินตนาการไม่ออกเลยว่าแม่เธอจะสวยแค่ไหน "

"แม่เป็นคนสวย แน่อยู่ล่ะ แต่ตัวฉันก็ไม่ได้เหมือนแม่ตัวเองเปี๊ยบ ถ้าให้พูดก็ส่วนตากับบุคลิกจะคล้ายทางพ่อมากกว่า ถามทำไมงั้นเหรอ?"

"ปะ เปล่า ไม่ใช้เรื่องสำคัญหรอก ก็แค่ถามตามความสงสัยน่ะ ตั้งแต่เจอหน้ากันในหนองน้ำเธอทำกิริยาท่าทางออกจะน่ารัก แถมมีเสน่ห์ด้วย เธอเรียนรู้มาจากแม่เธอรึเปล่า?"

ฮืออ ฉันครางเสียงหลงไปเลยเมื่อรู้ว่าโดนจับได้

เป็นไปตามธรรมชาติที่ลาเมียร์จะล่อลวงเพศตรงข้าม ป็นอุปลักษณะนิสัยของเผ่าเลย เสน่ห์ตัวเองที่ไว้ล่อชายเหมือนเข้าขั้นแย่เลย เป็นไปได้อยูที่จะใช้เวทย์(ร้าย)ดวงตาใส่คู่ตน แต่เสน่ห์ที่ฉันทำได้ก็เพียงยิ้มและแสดงกิริยาท่าทางเท่านั้นเอง แม่สอนฉันบทเรียนที่ละเอียดกว่านี้ก่อนจะออกหมู่บ้าน แต่ฉันก็เรียนรู้ได้แค่นี้เป็นนักเรียนที่แย่จริงๆ

"แม่เป็นคนเก่งมากๆ!ฉันมันไม่มีพรสวรรค์ ตอนที่จากหมู่บ้านไปก็พลางคิดอยู่ว่าเดี๋ยวก็ตกได้สักคนเอง ดูเหมือนการเดินทางครั้งนี้มันสูญเปล่า"

ฉันเริ่มแสดงอารมณ์ผิดหวัง ดรานแสดงใบหน้าอ่อนโยนและเอาใจใส่เหมือนพ่อ

"อย่าได้ว่าตัวเองเลย เราก็ไม่ได้รู้จักกันถึงวันด้วยซ้ำ ฉันก็คิดว่าซีเรียเป็นสาวที่มีเสน่ห์ดึงดูดแรง เธอยังสวยแม้จะเป็นตัวของเธอเอง ตลอดการเดินทางนี้ ฉันรับประกันเลยว่า เธอต้องหาคน'พิเศษ'ของเธอเจอแน่นอน"

"ฉันมองเข้าไปดวงตาฟ้าของดราน บอกได้เต็มปากว่าหมอนี่ไม่ได้โกหกแต่อย่างไร"

แม้จะเป็นมนุษย์คนแรกที่พบระหว่างการเดินทาง ฉันกับไว้ใจดรานได้อย่างไม่เคยคิดสงสัย

แก้มเริ่มแดงป่องเมื่อได้ยินคำชมและให้กำลังใจจากดราน ฉันดีใจ ดรานยังบอกถึงท่วงท่าที่ทำให้ขวยเขินอีกตังหาก ฉันจะแสดงหน้าอัปยศแบบนี้ไม่ได้

"อ่าา นายนี่มันประจบฉันอีกแล้วนะ แต่ก็ใช่ หากคิดอย่างงั้นแล้วก็ดีไป ฉันต้องตามหาสามีที่ดีได้แน่แล้วจะพากลับไปแนะนำให้พ่อแม่รู้จัก"

"ต้องอย่างนี้สิ!"

หลังจากนั้นก็ถึงคราวดรานที่เล่าเรื่องครอบครัวตัวเองบ้าง เขาเล่าเรื่องพ่อแม่ทุกๆอย่างเลยตั้งแต่อาหารโปรด ฉลองวันเกิดเขากันยังไง ครอบครัวดรานมีกันห้าคน พ่อกับแม่ น้องชายและพี่ชาย แล้วก็ตัวเขา ดูเหมือนพี่ชายจะอยู่กินนอกบ้านพ่อแม่ตัวเองแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องออกเดินทางไม่มีเหมือนกับพวกเรา แม้จะอาศัยอยู่หมู่บ้านเดียวกันกับพ่อแม่แต่ก็แยกกันอยู่ คงรู้สึกเศร้าและเหงาแน่ ฉันคิด

แล้วไม่รู้สึกโดดเดี่ยวบ้างเหรอเมื่ออยู่ตัวคนเดียว ดราน?"

"ผมคงโกหกแน่หากพูดคำว่า'ไม่'ไป แต่บ้านผมอยู่ใกล้กับบ้านพ่อแม่ก็เลยไปเยี่ยมบ่อยๆได้ มาเทียบกับผมแล้ว ซีเรียน่าชื่นชมมากกว่าออกจากบ้าน หมู่บ้านตัวเอง ออกเผชิญกับโลกภายนอกเพียงคนเดียว "

"ฟุฟุฟุ ก็ฉันรู้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็เลยเตรียมตัวเตรียมใจพร้อม ฉันต้องออกตามหาสามีด้วยตาดวงตาคู่นี้ก็ไม่ได้เลวร้ายไปหมดเสียหรอ"

"อย่างงั้นเหรอ ซีเรียเป็นคนเข้มแข็งดีนะ"

ดรานตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน

***

มองใบหน้าซีเรียที่กำลังหลับไหล ตัวเธอนอนบนผืนผ้าที่ปูลงกับพื้นมีผ้าห่มห่อหุ้มร่างเธอไว้ ข้าหายใจด้วยความโล่งอกแล้วนอนลงไป พยายามจะหลับให้ลง เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มตระหนักว่าตนเองนั้นเป็นคนช่างพูด ข้าเงยหน้ามองดูท้องฟ้ามีพระจันทร์ลอยอยู่กลางสวรรค์ส่องแสงเงินงดงามดั่งราชินีนภาราตรี

ข้าช่างพูดเสียจริง


แต่อย่างนั้น ซีเรียกับข้ายังรู้จักกันไม่ถึงวันด้วยซ้ำ แต่เธอกับคลายความกังวลที่มีต่อข้าแถมยังแสดงใบหน้าหลับปุ๋ยอีกด้วย หากข้าเป็นลาเมียร์หลังจากร่วมมือจัดการกับภูติคลุ้มคลั่งลง ณ สถานการณ์เช่นนี้คงไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองหลงเชื่อมนุษย์ได้ง่ายหรอก ยังไงก็เถอะ แม่นี้ปล่อยเสน่ห์เต็มแรงทั้งการกระทำทั้งความสามารถในด้านเวทย์อีก แต่ทัศนคติแบบนี้เป็นเรื่องไม่ควรแสดงออกต่อเพื่อนร่วมทางรึเปล่านะ? เมื่อเราต้องแยกทางกัน ซีเรียต้องเผชิญกับมนุษย์ผู้ที่อาจหันคมดาบเข้าหาเธอ เธอจะปกป้องตัวเองได้ไหม? หากข้าเป็นพ่อเธอ ข้าไม่ใช่ พ่อคงห่วงเธอมากแน่ๆ

คุณพ่อที่ข้ารักมากๆเป็นคนอ่อนโยน แถมไม่ค่อยมีพรสววรค์ด้านจิตประสงค์ร้ายเอาซะเลย แต่มนุษย์ก็ไม่ได้เป็นแม่พิมพ์เดียวกันหมด นี่แหละประเด็นที่ทำให้ข้าวิตก เมื่อคนอื่นเห็นฉากข้าพบกับลาเมียร์คงเห็นเป็นฉากน่าขบขันกันหมด แหงๆ ข้าจะไม่ห่วงเลยหากเป็นลาเมียร์ตนอื่นแต่บุคลิกลักษณะของซีเรียนี่สิ...

แหล่สายตาไปดูหน้าซีเรียขณะหายใจเบาๆ ข้าหันกลับขึ้นไปดูท้องฟ้ายามค่ำคืน เมื่อครั้นที่เป็นมังกรท้องฟ้ายามต่ำคืนเต็มไปด้วยหมู่ดาว อัญมณีนับไม่ถ้วนล่องลอยกระจายไปทั่วท้องฟ้า แต่ตอนนี้อัญมณีตอนนี้ก็หายลงไปมากพอดู เกิดอะไรขึ้นกันนะ? ยังอยู่ที่เดิมกันไหม หรือจะถูกทำลายลงด้วยมือของผู้อยู่อาศัย หรือถูกทำลายโดยผู้รุกราน?

เป็นไปตามธรรมชาติที่เวลาย่อมเดินผ่านไป แต่ก็อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้เมื่อสิ่งที่สวยงามต้องหายสูญไป แล้วมันสำคัญยังไงนักเชียว? แม่หมู่ดาวฟากฟ้าจะหายในพริบตาแต่ชีวิตบนโลกยังดำเนินวิถีตนเองต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อขึ้นเรื่องโต้แย่งก็พบว่าการหาคำตอบให้กับคำถามมันไม่คุ้มค่ากับเวลา ก็เลยเลิกรำลึกถึงความหลัง

มองกลับไปยังหน้าหลับปุ๋ยซีเรีย ปลายหางก็เข้าบังทางไว้ จู่ๆก็ถูกกระตุ้นเอื้อมมือไปแตะปลายหางของเธอ เรื่องรำลึกถึงความหลังเมื่อครู่มลายหายไป เบื้องหน้ามีแต่เรื่องเกล็ดหางของเธอ จากนั้นปลายหางก็แกว่งไปมาจากซ้ายไปขวา



"อืมม คิกคิก"

ซีเรียส่งเสียงขณะยังหลับปุ๋ย ปากยังคงหุบไว้แน่น คิ้วเธอขยับ ขนตาทองเธอกระตุกเล็กน้อย เหมือนเจ้าหญิงงูที่กำลังจะตื่นได้ทุกขณะ ปฏิกิริยาแบบเด็กๆของซีเรียเป็นเรื่องที่น่าสนใจจริงๆ ข้ายังคงแตะหางเธอต่อไปไม่เลิกโดยให้แน่ใจว่าเธอจะไม่ตื่นขึ้นมาเสียก่อน ภายใต้ดวงจันทร์ เสียงซีเรียยังดังขึ้นเรื่อยๆดูเหมือนจะดึกมากแล้ว ยังมีหน้ามาเสียใจอีก แม้จะสนุกแค่ไหนก็ตามแต่ก็ต้องหยุดมือในที่สุด

เช้าวันถัดมา แสงอาทิตย์ย้อมขอบฟ้าเป็นสีแดง ตัดสินใจเด็ดขาดว่าตัวข้าจะออกที่ตั้งแคมป์ไปขณะที่ซีเรียหลับอยู่นี่แหละ โชคดีที่ซีเรียยังไม่ตื่นเมื่อคืนตอนที่ยังเล่นสนุกกับหางเธออยู่ แม้จะไม่ได้หลับฝันดีเมื่อคืนดันมัวแต่คิดถึงเรื่องตื่นเต้นอยู่เลย

เพราะลาเมียร์เป็นสายพันธุ์เลือดเย็น ก็เลยไม่เคลื่อนไหวเท่าไหร่จนกว่าร่างจะอุ่น เมื่อรู้ดังนั้นแล้วก็เลยเติมฟืนลงไปพอที่จะปลุกซีเรียให้ตื่น ข้ารวบรวมผ้าห่ม หม้อ ช้อนกับส้อม ใส่ลงไปในกระเป๋าจากนั้นก็เก็บมีดเข้าปลอกผูกมันเคียงคู่ดาบกับเข็มขัด รู้สึกแย่หากซีเรียตื่นขึ้นแล้วไม่เจอตน ต้องทิ้งข้อความโน้ตไว้เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกเสียใจ

เท่านี้ก็คงเรียบร้อย

ข้าเดินจากที่ตั้งแคมป์ไปยังสถานที่ที่สู้กับภูติที่คลุ้มคลั่ง ร่องรอยความไม่สมดุลของธรรมชาติเหมือนจะหายไปหมดมีแร่ส่องแสงอยู่บนพื้นดินด้วย เป็นผนึกคริสตันที่สะอาด หากจำไม่ผิดนี่คงเป็นหินวิญญาณ คงตกมาอย่างนี้หลังปราบภูติได้ตั้งแต่เมื่อวาน หินนี่ก็ปรากฏเป็นรูปร่างแล้วหล่นบนผืนดิน ภูติที่เก็บสะสมพลังเวทย์มานานนับสิบปีก็ทำคริสตันผนึกนี้เก็บกักพลังส่วนนั้นไว้ด้วย คุณภาพทั้งข้างในและเปลือกนอกยังสูงทั้งคู่ เป็นเพราะภูติคลุ้มคลั่งอยู่ที่นี่ก็เลยไม่มีสัตว์ตัวไหนกล้ามาอาศัยที่แห่งนี้ แต่หลังจากที่ทำการตรวจสอบบริเวณนี้ก็ได้พบรอยเท้าสัตว์ป่าบางตัว ก็เลยตัดสินใจเดินไปกลางหนองน้ำแต่เนื่องจากยังมีโคลนตกค้างก็เลยต้องเดินบนผิวข้างบนน้ำ

ข้าใช้เวทยมนตร์มนุษย์ที่ได้เรียนรู้จากนักเวทย์ในหมู่บ้านเพื่อทำการแทรกแซงน้ำเพื่อให้น้ำรับน้ำหนักตัวได้ ข้าได้ก้าวเท้าซ้ายลงบนน้ำ ดูเหมือนจะไม่เป็นไร จากนั้นก็ก้าวเท้าอีกข้างเป็นสองบนผิวน้ำ แล้วก็เดินตรงต่อไปกลางหนองน้ำ

เมื่อมาถึงจุดกึ่งกลางก็ได้ถกแขนเสื้อตนเองขึ้นแล้วแผ่ฝ่ามือลงไปทางหนองน้ำ ที่กำลังลองทำอยู่ก็เพื่อค้นหาว่ายังมีภูติตนอื่นอีกไหม ข้าก็เลยส่งคลื่นเวทยมนตร์ไปหลายรอบเพื่อให้แน่ใจ

เมื่อผ่านไปสักพัก ก็จับสัญญาณสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นและยังอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่เคยคาดคิดว่าปลาจะกลับมาอยู่ที่นี่เร็วขนาดนี้ ชีวิตจะหวนคืนสู่หนองน้ำ แม้จะต้องใช้เวลาก็ตาม ข้าแน่ใจ รู้สึกมีความสุขเมื่อไม่ต้องเจออะไรที่ซับซ้อนยุ่งเหยิงต่อ


มองไปยังหินวิญญาณที่ถืออยู่กับมือ ข้าไม่จำเป็นต้องใช้คริสตัสนี้ด้วย จะเป็นการดีที่สุด หากพลังในตัวคริสตันใช้มันเพื่อรักษาหนองน้ำให้ดำรงอยู่ไว้ ก็ได้เก็บหินวิญญาณอื่นๆที่พบ รวบรวมโดยใช้เวทย์ เมื่อนึกย้อนกลับไป คนอื่นๆมองการเดินบนน้ำเป็นเรื่องของความสามารถการโทรจิต(เทเลไคเนซิส)

การเปลี่ยนหรือควบคุมวัตถุนั่นคือคือความหมายของการโทรจิตคิดดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดใจเลย เรียนรู้เวทยมนตร์จากครอบครัวนักเวทย์ในหมู่บ้านตนเอง พวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบการต่อการให้ความรู้เวทยมนตร์ของมนุษย์

หินวิญญาณส่องแสงออกมาแม้จะอยู่ใต้หนองน้ำ มีกรวดเม็ดเล็กๆไม่มากลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำที่ข้ายืนอยู่ แสงที่ส่องจากหินวิญญาณธรณีเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองอำพันสลัวๆ แต่ละหินวิญญาณมีสีที่ต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น หินวิญญาณวารีจะให้สีไพลิน ขนาดปกติของหินวิญญาณทั่วไปก็เท่ากับก้อนกรวดเม็ดเหล่านี้ ถ้าให้พูดหินธรณีขนาดนี้ถือเป็นของที่หาได้ยากมากๆ มีหินวิญญาณธรณีเจ็ดเม็ด หินวิญญาณวารีสี่เม็ด รวมกันเป็นสิบเอ็อเม็ด ข้าห่อหินลงในผ้าเพื่อสลัดน้ำออก คงใช้เป็นของฝากจากการเดินทางรอบนี้ได้

"อรุณสวัสดิ์ ดราน! ได้ยินฉันไหม?"

สัมภาระของเธอเก็บเรียบร้อยแล้วก็อยู่บนหลังเธอ ซีเรียหยุดตรงชายฝั่งหนองน้ำแล้วเป็นคนทักทายเอง เธอโปกมือให้ข้าด้วยรอยยิ้มความสัมพันธ์เราดีขึ้นมากแม้จะผ่านไปแค่วันเดียว ข้าเดินไปหาเธอ เธอ

"นั่นมันหินวิญญาณไม่ใช่เหรอ? ว้าว ใหญ่จัง!"

"คงเป็นผลพลอยได้จากการที่ภูติดูดพลังจากรอบบริเวณนี้เป็นเวลาทศวรรษ"

เมื่อเห็นหินวิญญาณธรณีในมือซ้ายข้า ซีเรียก็เอ่ยคำชื่นชมออกมา เธอคงเห็นหินวิญญาณมาก่อน แม้เมื่อมาเห็นขนาดหินที่ไม่ปกติเช่นนี้ก็ไม่ได้ก่อกวนเธอแม้แต่น้อยเธอคงเห็นหินที่ใหญ่กว่านี้มากแล้วการที่เธอต่อสู้เมื่อวานนี้ด้วยช่วยไว้ได้มาก เธอเองก็มีสิทธิ์สมควรได้รับหินวิญญาณด้วย

"เอ๊านี่ ซีเรีย"

ข้าส่งหินวิญญาณธรณีสี่เม็ดและหินวิญญาณวารีสองเม็ดให้ ทีแรกเธอยังลังเลจะรับหินแต่เพราะบุคลิกที่อ่อนแอ รวมถึงข้าที่ยืนกราน เธอก็ฝืนใจรับมัน เพราะแก้ปัญหาหนองน้ำได้แล้วก็ไม่มีเหตุผลจะอยู่ต่อ ต้องรีบกลับตอนนี้ไม่งั้นจะกลับสายจะได้ไปเล่ามาร์โค้และคนอื่นๆว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

"ไง ซีเรีย ผมจะกลับหมู่บ้านแล้ว เธอมีแผนอะไรจะทำต่อที่นี่ไหม?"

"เอ่อ? ฉันคงเดินทางลงใต้ต่อไปเพื่อตามหาสามีที่ดีให้เจอ"

"ฟุมุ แม้ผมจะเป็นมิตรต่อเธอ แต่มนุษย์คนอื่นไม่เป็นมิตรต่อลาเมียร์เท่าไหร่นัก จำไว้ด้วยนะ"

"ข๋าค่ะ พ่อแม่ก็เตือนเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว ฉันมีความสุขที่ได้พบคนที่ใจดีอย่างนาย ดราน"

"ซีเรียก็เป็นมิตรมากๆด้วย นานๆผมถึงจะเจอสักคน ผมขอให้เธอพบคนที่สามารถใช้ชีวิตมีความสุขร่วมกันได้ แม้อายุขัยลาเมียร์จะยาวกว่าก็ตาม อยากให้เธอใช้เวลาทำความเข้าใจกับมนุษย์ให้ดีเสียก่อนดีกว่าจะเร่งรีบหาให้เสร็จๆ "

"ค่ะ"

ซีเรียพยักรับคำ ข้ายื่นมือขวาออกไป ซีเรียมองดูการกระทำของข้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่เธอก็จับมือข้าแล้วส่งยิ้ม แทบจะทันทีก็เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าเขินอาย รอยยิ้มเธอช่างสวยงาม อ่อนโยนและอบอุ่นเหมือนดอกไม้บาน ถือเป็นของขวัญกับเที่ยวนี้ ข้าก็เลยถ่ายโอนพลังจิตวิญญาณบางส่วนผ่านมืออุ่นๆและนุ่มของเธอซะเต็มที่

"เอิ๊ก!"

ข้าให้พลังงานมังกรระดับพระเจ้าเข้าไปแทนที่จะเป็นพลังงานมนุษย์สร้างความประหลาดใจให้เธออยู่หน่อยแม้ตอนอยู่ในหมู่บ้าน เธอได้ลิ้มลองพลังงานมนุษย์ แต่พลังงานระดับมังกรไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับ(ผู้แปล:เธอไม่รู้จักพลังชีวิตมังกร)

นี่ข้าไม่ค่อยระวังตัวแล้วเหรอเนี่ย?

ใบหน้าที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจรวมถึงหางที่แกว่งเคลื่อนไปมาไม่หยุดทันทีที่เธอได้รับพลังงาน

"ผมต้องขอโทษด้วย ไม่ได้กะให้เธอตกใจมากขนาดนี้ ระหว่างการเดินทางกลับ ก็ขอภาวนาให้พระเจ้าไม่ให้บรรดาสิ่งเคราะห์ร้ายใส่เธอ"

"อ้อ ค่ะ ดรานก็เช่นกัน"

"ขอบใจนะ ขอให้เธอพบกับชายที่เธอชอบ ผมสนับสนุนเธอเต็มที่"

เราปล่อยมือจากกันแล้วก็เดินกลับมุ่งหน้าไปยังเบิร์น เมื่อผ่านไปสักระยะก็หันกลับไปมองเห็นซีเรียยังยืนที่เดิม ข้าโบกมือให้เธอแล้วเธอก็โบกมือตอบกลับ ข้าหัวเราะก็เริ่มเดินต่อไป ซีเรียมองข้าออกไปจนตัวข้าลับสายตามเธอ

ลาเมียร์เป็นคนน่ารักอะไรเช่นนี้

ระหว่างทางเดินกลับไปเบิร์น ก็ได้คร่าหมีตัวใหญ่สองตัวที่เข้ามาจู่โจม นอกเหนือจากเรื่องนี้ ก็ถือเป็นการเดินทางกลับที่ธรรมดา

ในที่สุด ข้าก็เดินมาถึงประตูเหนือของหมู่บ้าน เห็นยามเฝ้าประตูสองนายหัวเราะและเล่าเรื่องตลกให้กันกระนั้นก็ไม่สามารถขจัดความกังวลไปได้ แม้ตอนแยกทางกับซีเรีย เตือนเธอไปหลายอย่าง ก็ยังรู้สึกกังวลกับเธออยู่ดี ระดับความสามารถของเธอก็คงไม่มีปัญหากับการป้องกันตัวจากกลุ่มโจรหรอก

อย่าไปกังวลมากนัก เข้าใจไหม?  ข้าบอกกับตัวเอง

แม้เราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ก็ไม่มีอะไรเกินเลยไปจากนี้ แม้ตัวข้าดึงดูดหาซีเรียเต็มๆก็เหอะ ข้าไม่รู้เลยว่าเราอาจได้บังเอิญผ่านเจอกันอีกในอนาคตไหม แต่ก็คงจะดีหากได้พบเธออีกครั้ง

โปรดติดตามตอนต่อไป

แปลจาก https://binhjamin.wordpress.com/sayonara-ryuusei-konnichiwa-jinsei/volume-1/chapter-3/  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น